สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโบโกตา ประเทศโคลอมเบีย เมื่อวันที่ 23 ก.ย.ว่า นายโรดริโก ลอนโดโน หรือ ติโมเลียน จิเมเนซ ทิโมเชนโก ผู้บัญชาการใหญ่ของกองกำลังปฏิวัติติดอาวุธโคลอมเบีย ( ฟาร์ก ) กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมใหญ่ของกบฏฟาร์ก ที่เมืองเอล เดียแมนเต ที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโคลอมเบีย และเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นสำคัญของกบฏฟาร์ก เมื่อวันศุกร์ว่า ผลการลงประชามติของที่ประชุมออกมาเป็นเอกฉันท์ ให้การรับรองข้อตกลงสันติภาพที่เห็นพ้องร่วมกับรัฐบาลโบโกตา เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา ทิโมเชนโกซึ่งเปลี่ยนจากชุดเครื่องแบบลายพรางคล้ายทหารที่สวมใส่มาตลอดมาเป็นการสวมชุดเสื้อยืดธรรมดา กล่าวด้วยว่า การสร้างสันติภาพสำเร็จถือเป็นชัยชนะยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับทุกฝ่าย ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง และปรบมือดังกึกก้องด้วยความยินดีของสมาชิกจำนวนมาก
ทั้งนี้ กบฏฟาร์กประกาศตั้งแต่เริ่มต้นการประชุมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ว่าการรวมตัวครั้งนี้จะถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายอย่างเป็นทางการในนามของกลุ่มกบฏ เนื่องจากนับจากนี้ทางกลุ่มจะเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามข้อตกลงสันติภาพ โดยตั้งเป้าได้รับการเลือกตั้งในสภาคองเกรสของโคลอมเบียให้ได้ 10 ที่นั่ง ภายในปี 2569
ขณะที่ประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลอมเบีย กล่าวแสดงความยินดีต่อคำประกาศสันติภาพของกลุ่มกบฏฟาร์ก และเผยว่าการลงนามครั้งสุดท้ายอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.ย.นี้ โดยซานโตสและทิโมเชนโกจะเป็นผู้ลงนามด้วยตัวเอง ก่อนที่รัฐบาลโคลอมเบียจะนำข้อตกลงสันติภาพเข้าสู่การลงประชามติรับรองจากประชาชน ในวันที่ 2 ต.ค.นี้ต่อไป
สงครามระหว่างกองทัพโคลอมเบียกับกบฏฟาร์กถือเป็นความขัดแย้งด้านอาวุธระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ยาวนานที่สุดในอเมริกาใต้ โดยนับตั้งแต่ปี 2507 มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 260,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัย 6.8 ล้านคน อีกทั้ง 45,000 คนยังสูญหาย แม้รัฐบาลโคลอมเบียทุกสมัยพยายามเจรจาสันติภาพกับกลุ่มกบฏแต่ล้มเหลวมาตลอด จนกระทั่งได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารกดดันอย่างหนักในระหว่างปี 2546-2552 ซึ่งในตอนนั้นซานโตสอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และสามารถนำกลุ่มกบฏฟาร์กเข้าสู่การเจรจาได้สำเร็จเมื่อปี 2555 โดยมีคิวบารับหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
ทั้งนี้ กบฏฟาร์กประกาศตั้งแต่เริ่มต้นการประชุมเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้ ว่าการรวมตัวครั้งนี้จะถือเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายอย่างเป็นทางการในนามของกลุ่มกบฏ เนื่องจากนับจากนี้ทางกลุ่มจะเดินหน้ากระบวนการปฏิรูปอย่างจริงจัง เพื่อเปลี่ยนสถานะให้กลายเป็นพรรคการเมือง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามข้อตกลงสันติภาพ โดยตั้งเป้าได้รับการเลือกตั้งในสภาคองเกรสของโคลอมเบียให้ได้ 10 ที่นั่ง ภายในปี 2569
ขณะที่ประธานาธิบดีฮวน มานูเอล ซานโตส ผู้นำโคลอมเบีย กล่าวแสดงความยินดีต่อคำประกาศสันติภาพของกลุ่มกบฏฟาร์ก และเผยว่าการลงนามครั้งสุดท้ายอย่างเป็นทางการจะมีขึ้นในวันที่ 26 ก.ย.นี้ โดยซานโตสและทิโมเชนโกจะเป็นผู้ลงนามด้วยตัวเอง ก่อนที่รัฐบาลโคลอมเบียจะนำข้อตกลงสันติภาพเข้าสู่การลงประชามติรับรองจากประชาชน ในวันที่ 2 ต.ค.นี้ต่อไป
สงครามระหว่างกองทัพโคลอมเบียกับกบฏฟาร์กถือเป็นความขัดแย้งด้านอาวุธระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ยาวนานที่สุดในอเมริกาใต้ โดยนับตั้งแต่ปี 2507 มีผู้เสียชีวิตแล้วไม่ต่ำกว่า 260,000 คน และไร้ที่อยู่อาศัย 6.8 ล้านคน อีกทั้ง 45,000 คนยังสูญหาย แม้รัฐบาลโคลอมเบียทุกสมัยพยายามเจรจาสันติภาพกับกลุ่มกบฏแต่ล้มเหลวมาตลอด จนกระทั่งได้ใช้ปฏิบัติการทางทหารกดดันอย่างหนักในระหว่างปี 2546-2552 ซึ่งในตอนนั้นซานโตสอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และสามารถนำกลุ่มกบฏฟาร์กเข้าสู่การเจรจาได้สำเร็จเมื่อปี 2555 โดยมีคิวบารับหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ย
