นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ได้พบข้อมูลความผิดปกติหลายโครงการของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) อาทิ การจัดประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างคลอลีนเหลว เมือต้นปี 2559 ที่พบว่าวิธีการประมูลไม่โปร่งใส มีการต่อรองราคากับบริษัทเอกชนรายหนึ่งที่เข้าร่วมการประมูลก่อนวันเคาะราคาประมูล และยังพบว่าราคาคลอลีนเหลว รวมค่าขนส่งมีส่วนต่างจากราคาจริง 50 บาท โดยไม่มีรายละเอียดชี้แจง การวางท่อประปาที่อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ใช้งบประมาณกว่า 700 ล้านบาท ซึ่งภายหลังเสร็จสิ้นโครงการในปีแรกพบท่อประปาแตก 132 แห่ง ส่งผลให้การประปาส่วนภูมิภาคเสียหายกว่า 162 ล้านบาท แม้จะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่มีมติแค่ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่มีการดำเนินคดี หรือเรียกร้องค่าเสียหาย
นอกจากนี้ การประปาส่วนภูมิภาคได้เข้าไปถือหุ้นใน บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสต์วอเตอร์ ร้อยละ 40 ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาค อ้างว่าเป็นบริษัทลงทุนวางท่อเพื่อสูบน้ำดิบจำหน่ายจึงต้องซื้อน้ำดิบผ่านบริษัทดังกล่าว แต่ความเป็นจริงสามารถซื้อน้ำดิบจากกรมชลประทาน คิวละ 50 สตางค์ แต่การประปาส่วนภูมิภาคกลับซื้อน้ำดิบของบริษัทอีสวอเตอร์ ในราคาคิวละ 10.50 บาท รวมถึงมีการตั้งบริษัทลูก 4 บริษัท เพื่อรับงานกับการประปาส่วนภูมิภาคโดยตรง ดังนั้น จึงขอให้การประปาส่วนภูมิภาค ถอนหุ้นจากบริษัทดังกล่าว ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความว่าการถือหุ้นของการประปาส่วนภูมิภาคในบริษัทอีสวอเตอร์ ขัดต่อ พ.ร.บ.การประปาภูมิภาค มาตรา 5 วรรค 2 แต่ปัจจุบันการประปาส่วนภูมิภาคยังคงถือหุ้นอยู่
นายวิลาศ กล่าวว่า ส่วนตัวหวังว่า นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคคนใหม่ จะดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ตนจะติดตามการดำเนินการใน 30 วัน หากไม่มีความคืบหน้าจะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป
นอกจากนี้ การประปาส่วนภูมิภาคได้เข้าไปถือหุ้นใน บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรืออีสต์วอเตอร์ ร้อยละ 40 ซึ่งการประปาส่วนภูมิภาค อ้างว่าเป็นบริษัทลงทุนวางท่อเพื่อสูบน้ำดิบจำหน่ายจึงต้องซื้อน้ำดิบผ่านบริษัทดังกล่าว แต่ความเป็นจริงสามารถซื้อน้ำดิบจากกรมชลประทาน คิวละ 50 สตางค์ แต่การประปาส่วนภูมิภาคกลับซื้อน้ำดิบของบริษัทอีสวอเตอร์ ในราคาคิวละ 10.50 บาท รวมถึงมีการตั้งบริษัทลูก 4 บริษัท เพื่อรับงานกับการประปาส่วนภูมิภาคโดยตรง ดังนั้น จึงขอให้การประปาส่วนภูมิภาค ถอนหุ้นจากบริษัทดังกล่าว ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยตีความว่าการถือหุ้นของการประปาส่วนภูมิภาคในบริษัทอีสวอเตอร์ ขัดต่อ พ.ร.บ.การประปาภูมิภาค มาตรา 5 วรรค 2 แต่ปัจจุบันการประปาส่วนภูมิภาคยังคงถือหุ้นอยู่
นายวิลาศ กล่าวว่า ส่วนตัวหวังว่า นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้ว่าการประปาส่วนภูมิภาคคนใหม่ จะดำเนินการตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ตนจะติดตามการดำเนินการใน 30 วัน หากไม่มีความคืบหน้าจะไปยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไป