นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เปิดเผยความคืบหน้าการสอบสวนข้อเท็จจริงของอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมีเหตุอันควรสงสัย นายบุญทรง เตริยภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนางปราณี ศิริพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กรณีเห็นชอบการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ล่าสุด พบว่า สัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ ที่เป็นการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐกับจีน ที่มีบริษัท COFCO ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นตัวแทนเพียงหน่วยงานเดียวเท่านั้นที่สามารถทำสัญญาในนามรัฐบาลจีนได้ ดังนั้น สัญญาซื้อขายข้าวที่รัฐบาลไทยทำขึ้นกับรัฐวิสาหกิจจีนทั้ง 4 แห่ง จึงไม่ใช่สัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ
โฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบการชำระค่าข้าวในปี 2556 , 2557 และ 2558 ยังไม่พบข้อมูลนิติบุคคลตัวแทนของทั้ง 4 บริษัทที่อ้างว่าเป็นบริษัทของจีน โอนเงินค่าข้าวระหว่างประเทศมายังธนาคารในประเทศไทย แต่พบว่าแคชเชียร์เช็คที่นำมาชำระค่าข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าว ส่วนหนึ่งที่มีจำนวน 46 ฉบับ จำนวนเงินกว่า 1,878 ล้านบาท เป็นเงินของบุคคลอื่นภายในประเทศ และพบว่าแคชเชียร์เช็คจำนวน 40 ฉบับ จาก 46 ฉบับ จำนวนเงิน กว่า 1,868 บาท มาจากเงินในบัญชีของบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด บริษัทสิราลัย จำกัด และนายสุธี เชื่อมไธสง คณะอนุกรรมการไต่สวนเห็นว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำตัวคนผิดมาลงโทษ จึงมีคำสั่งให้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เก็บรักษาเงินทั้งหมดไว้ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป
นายสรรเสริญ กล่าวว่า ได้เสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติสั่งไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 33 ราย รวมถึงบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการชำระเงินค่าข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอีก จำนวน 15 ราย เช่น ผู้ขอซื้อแคชเชียร์เช็ค เจ้าของบัญชีที่นำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค ผู้แทนนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีที่นำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค รวมถึงประธานหรือเจ้าของหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจของ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ด้วย
โฆษก ป.ป.ช. กล่าวว่า จากการตรวจสอบการชำระค่าข้าวในปี 2556 , 2557 และ 2558 ยังไม่พบข้อมูลนิติบุคคลตัวแทนของทั้ง 4 บริษัทที่อ้างว่าเป็นบริษัทของจีน โอนเงินค่าข้าวระหว่างประเทศมายังธนาคารในประเทศไทย แต่พบว่าแคชเชียร์เช็คที่นำมาชำระค่าข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าว ส่วนหนึ่งที่มีจำนวน 46 ฉบับ จำนวนเงินกว่า 1,878 ล้านบาท เป็นเงินของบุคคลอื่นภายในประเทศ และพบว่าแคชเชียร์เช็คจำนวน 40 ฉบับ จาก 46 ฉบับ จำนวนเงิน กว่า 1,868 บาท มาจากเงินในบัญชีของบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด บริษัทสิราลัย จำกัด และนายสุธี เชื่อมไธสง คณะอนุกรรมการไต่สวนเห็นว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญที่จะนำตัวคนผิดมาลงโทษ จึงมีคำสั่งให้กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เก็บรักษาเงินทั้งหมดไว้ เพื่อไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไป
นายสรรเสริญ กล่าวว่า ได้เสนอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติสั่งไต่สวนผู้ถูกกล่าวหาเพิ่มเติมอีก 33 ราย รวมถึงบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องในการชำระเงินค่าข้าวตามสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐอีก จำนวน 15 ราย เช่น ผู้ขอซื้อแคชเชียร์เช็ค เจ้าของบัญชีที่นำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค ผู้แทนนิติบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชีที่นำเงินไปซื้อแคชเชียร์เช็ค รวมถึงประธานหรือเจ้าของหรือผู้มีอำนาจตัดสินใจของ บริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ด้วย