ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (26 เม.ย.) หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 3% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน ซึ่งรวมถึง เฟียต ไครส์เลอร์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,990.32 จุด เพิ่มขึ้น 13.08 จุด หรือ +0.07% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,888.28 จุด ลดลง 7.51 จุด หรือ -0.15% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,091.70 จุด เพิ่มขึ้น 3.91 จุด หรือ +0.19%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก ขานรับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้น 3.3% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ พุ่งขึ้น 3.9% หุ้นไพโอเนียร์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 7.7%
ส่วนหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับขึ้น 0.3% แม้ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทเอ็กซอน โมบิล จาก AAA สู่ AA+ โดยระบุว่า ปัจจัยชี้วัดความน่าเชื่อถือของเอ็กซอน ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดหมุนเวียนนั้น จะยังคงอยู่ต่ำกว่าที่ทาง S&P คาดไว้สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA ไปจนถึงปี 2018
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันเช่นกัน โดยหุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 4.9% หุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง คอร์ป ปรับขึ้น 2.8% หุ้นดูปองท์พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นดาว เคมิคอล เพิ่มขึ้น 2.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน โดยเฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบิล เปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 1.38 พันล้านยูโร จากระดับ 700 ล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยผลกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.17 พันล้านยูโร
ขณะที่พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เปิดเผยกำไรสุทธิพุ่งแตะระดับ 2.75 พันล้านดอลลาร์ หรือ 97 เซนต์/หุ้นในไตรมาสแรก โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.15 พันล้านดอลลาร์ หรือ 75 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพราะได้ปัจจัยหนุนจากการปรับลดค่าใช้จ่าย และการปรับขึ้นราคาสินค้า
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนมี.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 0.8% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้น 1.8%
ด้านผลสำรวจของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.5%
นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่ผลการสำรวจของสถานีโทรทัศน์ CNBC บ่งชี้ว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เฟดจะส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมครั้งนี้มากกว่าการประชุมในเดือนมี.ค. และคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค., ดัชนีการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดสาขาดัลลัส และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,990.32 จุด เพิ่มขึ้น 13.08 จุด หรือ +0.07% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,888.28 จุด ลดลง 7.51 จุด หรือ -0.15% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,091.70 จุด เพิ่มขึ้น 3.91 จุด หรือ +0.19%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดในแดนบวก ขานรับราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ดีดตัวขึ้น 3.3% ซึ่งช่วยหนุนหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นโคโนโคฟิลิปส์ พุ่งขึ้น 3.9% หุ้นไพโอเนียร์ รีซอสเซส ทะยานขึ้น 7.7%
ส่วนหุ้นเอ็กซอน โมบิล ปรับขึ้น 0.3% แม้ว่าสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ได้ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทเอ็กซอน โมบิล จาก AAA สู่ AA+ โดยระบุว่า ปัจจัยชี้วัดความน่าเชื่อถือของเอ็กซอน ซึ่งรวมถึงกระแสเงินสดหมุนเวียนนั้น จะยังคงอยู่ต่ำกว่าที่ทาง S&P คาดไว้สำหรับอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ AAA ไปจนถึงปี 2018
หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ดีดตัวขึ้นเพราะได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของราคาน้ำมันเช่นกัน โดยหุ้นอัลโค อิงค์ พุ่งขึ้น 4.9% หุ้นนิวมอนท์ ไมนิ่ง คอร์ป ปรับขึ้น 2.8% หุ้นดูปองท์พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นดาว เคมิคอล เพิ่มขึ้น 2.3%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน โดยเฟียต ไครส์เลอร์ ออโตโมบิล เปิดเผยกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสแรกอยู่ที่ระดับ 1.38 พันล้านยูโร จากระดับ 700 ล้านยูโรในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยผลกำไรในไตรมาสแรกของบริษัทออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 1.17 พันล้านยูโร
ขณะที่พร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เปิดเผยกำไรสุทธิพุ่งแตะระดับ 2.75 พันล้านดอลลาร์ หรือ 97 เซนต์/หุ้นในไตรมาสแรก โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.15 พันล้านดอลลาร์ หรือ 75 เซนต์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เพราะได้ปัจจัยหนุนจากการปรับลดค่าใช้จ่าย และการปรับขึ้นราคาสินค้า
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของสหรัฐได้สกัดแรงบวกของตลาดในระหว่างวัน โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดในเดือนมี.ค. โดยปรับตัวขึ้นเพียง 0.8% ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะพุ่งขึ้น 1.8%
ด้านผลสำรวจของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์/เคส ชิลเลอร์ระบุว่า ดัชนีราคาบ้านใน 20 เมืองของสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.4% ในเดือนก.พ. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.5%
นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้ตามเวลาสหรัฐ ขณะที่ผลการสำรวจของสถานีโทรทัศน์ CNBC บ่งชี้ว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทคาดการณ์ว่า เฟดจะส่งสัญญาณผ่อนคลายทางการเงินในการประชุมครั้งนี้มากกว่าการประชุมในเดือนมี.ค. และคาดว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนมี.ค., ดัชนีการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดสาขาดัลลัส และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์จากสำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานสหรัฐ (EIA)