ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (25 เม.ย.) หลังจากราคาน้ำมัน WTI ร่วงลงกว่า 2% ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐลดลงมากเกินคาดในเดือนมี.ค. ขณะที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะทราบผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันพุธนี้
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,977.24 จุด ลดลง 26.51 จุด หรือ -0.15% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,895.79 จุด ลดลง 10.44 จุด หรือ -0.21% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,087.79 จุด ลดลง 3.79 จุด หรือ -0.18%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2.5% จากการที่นักวิเคราะห์มีมุมมองในด้านลบต่อแนวโน้มราคาน้ำมัน โดยบทวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สระบุว่า สต็อกน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน จะกดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 4.1% หุ้นคาโบท์ ออยล์ แอนด์ แก๊ซ ดิ่งลง 4.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ต่างก็ปรับตัวลง 0.6%
หุ้นกลุ่มขนส่งอ่อนแรงลง โดยหุ้นยูเนียน แปซิฟิก คอร์ป และหุ้นแคนซัส ซิตี้ เซาเทิร์น ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 1.3% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ปรับตัวลงกว่า 2.7%
หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ร่วงลง 2.8% หลังจากอเมริกัน แอร์ไลน์ส เปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ ร่วงลง 25% สู่ระดับ 700 ล้านดอลลาร์ จากไตรมาสแรกปีที่แล้วที่ระดับ 932 ล้านดอลลาร์ โดยผู้บริหารของอเมริกัน แอร์ไลน์ส กล่าวว่า แม้ว่าการลดลงของราคาน้ำมันช่วยให้ทางสายการบินสามารถประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้จากการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 1.50% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 511,000 ยูนิต สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 520,000 ยูนิตในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 26-27 เม.ย.นี้ พร้อมกับแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อดูทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมสัปดาห์นี้ หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ในการประชุมเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.จากมาร์กิต และดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,977.24 จุด ลดลง 26.51 จุด หรือ -0.15% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,895.79 จุด ลดลง 10.44 จุด หรือ -0.21% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,087.79 จุด ลดลง 3.79 จุด หรือ -0.18%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2.5% จากการที่นักวิเคราะห์มีมุมมองในด้านลบต่อแนวโน้มราคาน้ำมัน โดยบทวิเคราะห์ของบาร์เคลย์สระบุว่า สต็อกน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง และการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบียและอิหร่าน จะกดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลงในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
การร่วงลงของราคาน้ำมันได้ฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย โดยหุ้นทรานส์โอเชียน ร่วงลง 4.1% หุ้นคาโบท์ ออยล์ แอนด์ แก๊ซ ดิ่งลง 4.2%
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวลงเช่นกัน โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 1% หุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ต่างก็ปรับตัวลง 0.6%
หุ้นกลุ่มขนส่งอ่อนแรงลง โดยหุ้นยูเนียน แปซิฟิก คอร์ป และหุ้นแคนซัส ซิตี้ เซาเทิร์น ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 1.3% หุ้นยูไนเต็ด คอนติเนนตัล โฮลดิงส์ ปรับตัวลงกว่า 2.7%
หุ้นอเมริกัน แอร์ไลน์ส ร่วงลง 2.8% หลังจากอเมริกัน แอร์ไลน์ส เปิดเผยกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ ร่วงลง 25% สู่ระดับ 700 ล้านดอลลาร์ จากไตรมาสแรกปีที่แล้วที่ระดับ 932 ล้านดอลลาร์ โดยผู้บริหารของอเมริกัน แอร์ไลน์ส กล่าวว่า แม้ว่าการลดลงของราคาน้ำมันช่วยให้ทางสายการบินสามารถประหยัดต้นทุนเชื้อเพลิงได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดเชยรายได้จากการดำเนินงานที่ปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 1.50% ในเดือนมี.ค. สู่ระดับ 511,000 ยูนิต สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่ายอดขายบ้านใหม่จะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 520,000 ยูนิตในเดือนมี.ค.
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 26-27 เม.ย.นี้ พร้อมกับแถลงการณ์หลังการประชุมเพื่อดูทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ
ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในการประชุมสัปดาห์นี้ หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ในการประชุมเดือนธ.ค.ปีที่แล้ว
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในวันนี้ รวมถึงยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนมี.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนเม.ย.จากมาร์กิต และดัชนีภาคการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดสาขาริชมอนด์