ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ (1 เม.ย.) เนื่องจากนักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ รวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนมี.ค.ที่พุ่งขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ และข้อมูลภาคการผลิตที่ปรับตัวดีเกินคาด นอกจากนี้ ตลาดยังมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ความแข็งแกร่งของข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวจะไม่เป็นแรงผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,792.75 จุด พุ่งขึ้น 107.66 จุด หรือ +0.61% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,914.54 จุด เพิ่มขึ้น 44.69 จุด หรือ +0.92% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,072.78 จุด เพิ่มขึ้น 13.04 จุด หรือ +0.63%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.6% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปรับขึ้น 1.8% และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 215,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้น 0.1% แตะระดับ 5.0% หลังจากทรงตัวที่ 4.9% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี
รายงานของกระทรวงฯระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.8 ในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.5 ในเดือนก.พ. โดยดัชนีภาคการผลิตในเดือนมี.ค.อยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.7
ทั้งนี้ ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการ หลังจากที่อยู่ในภาวะหดตัวติดต่อกัน 5 เดือน
นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเหล่านี้จะไม่เป็นแรงผลักดันให้เฟดรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้เน้นย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.1% หุ้นแคปิตอล วัน ไฟแนนเชียล ดีดขึ้น 2.1% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.8%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวขึ้น โดยหุ้นคอนอะกรา ฟู๊ดส์ และหุ้นเจนเนอรัล มิลส์ ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 2.5% หุ้นวอลกรีนส์ บู๊ทส์ อัลไลอันซ์ ทะยานขึ้น 2.9%
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไฟเซอร์พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นแอมเจน อิงค์ พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ทะยานขึ้น 12%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน ปรับตัวลง 1.2% หุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นมาราธอน ออยล์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 5.2%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวลงด้วย หลังจากมีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ของบริษัทรายใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ และหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 2.9%
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 17,792.75 จุด พุ่งขึ้น 107.66 จุด หรือ +0.61% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,914.54 จุด เพิ่มขึ้น 44.69 จุด หรือ +0.92% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,072.78 จุด เพิ่มขึ้น 13.04 จุด หรือ +0.63%
ตลอดทั้งสัปดาห์ ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นทั้งสิ้น 1.6% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปรับขึ้น 1.8% และดัชนีแนสแด็ก ปรับตัวขึ้น 3%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 215,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 205,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราการว่างงานขยับขึ้น 0.1% แตะระดับ 5.0% หลังจากทรงตัวที่ 4.9% ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 8 ปี
รายงานของกระทรวงฯระบุว่า ภาคเอกชนมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น 195,000 ตำแหน่งในเดือนมี.ค. ขณะที่ภาครัฐจ้างงานเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง
ตลาดได้รับแรงหนุนมากขึ้นจากผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) ซึ่งระบุว่า ดัชนีภาคการผลิตของ ISM อยู่ที่ระดับ 51.8 ในเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้นจากระดับ 49.5 ในเดือนก.พ. โดยดัชนีภาคการผลิตในเดือนมี.ค.อยู่ในระดับสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 50.7
ทั้งนี้ ดัชนีที่เคลื่อนไหวเหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐมีการ หลังจากที่อยู่ในภาวะหดตัวติดต่อกัน 5 เดือน
นักลงทุนมีมุมมองที่เป็นบวกว่า ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งเหล่านี้จะไม่เป็นแรงผลักดันให้เฟดรีบปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา นางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดได้เน้นย้ำว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป เมื่อพิจารณาจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ป และหุ้นเจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.1% หุ้นแคปิตอล วัน ไฟแนนเชียล ดีดขึ้น 2.1% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ พุ่งขึ้น 2.2% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ปรับตัวขึ้น 1.8%
หุ้นกลุ่มผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มปรับตัวขึ้น โดยหุ้นคอนอะกรา ฟู๊ดส์ และหุ้นเจนเนอรัล มิลส์ ต่างก็พุ่งขึ้นอย่างน้อย 2.5% หุ้นวอลกรีนส์ บู๊ทส์ อัลไลอันซ์ ทะยานขึ้น 2.9%
หุ้นกลุ่มเวชภัณฑ์ดีดตัวขึ้นเช่นกัน โดยหุ้นไฟเซอร์พุ่งขึ้น 1.4% หุ้นแอมเจน อิงค์ พุ่งขึ้น 2.8% หุ้นเรเจเนรอน ฟาร์มาซูติคอลส์ ทะยานขึ้น 12%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานอ่อนแรงลง หลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงเมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน ปรับตัวลง 1.2% หุ้นทรานส์โอเชียน และหุ้นมาราธอน ออยล์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 5.2%
นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มรถยนต์ปรับตัวลงด้วย หลังจากมีรายงานว่ายอดขายรถยนต์ของบริษัทรายใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยหุ้นฟอร์ด มอเตอร์ และหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) ต่างก็ร่วงลงอย่างน้อย 2.9%