ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 เม.ย.) เพราะได้แรงหนุนจากราคาน้ำมัน WTI ที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 42 ดอลลาร์/บาร์เรล นอกจากนี้ ตลาดยังขานรับผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในสหรัฐ และรายงานยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐที่พุ่งเกินคาดในเดือนมี.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,096.27 จุด เพิ่มขึ้น 42.67 จุด หรือ +0.24% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,948.13 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด หรือ +0.16% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,102.40 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.08%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทะยานขึ้นเหนือระดับ 42 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือพุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยพุ่งขึ้น 5.1% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.33 ล้านยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.5% สู่ระดับ 5.30 ล้านยูนิต
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเชฟรอน ปรับขึ้น 1.2% หุ้นชลัมเบอร์เกอร์ พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดีดขึ้น 1.85%
หุ้นยาฮู อิงค์ พุ่งขึ้น 4.16% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรกอยู่ที่ 8 เซนต์ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.27% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด นอกจากนี้ อินเทลยังได้ประกาศแผนลดจำนวนพนักงาน 12,000 ตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็นสัดส่วน 11% ของการจ้างงานในองค์กร นับเป็นการปรับลดพนักงานในอัตราส่วนสูงสุดในรอบ 10 ปี
หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงได้รับแรงหนุนอย่างคึกคัก โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 3.3% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปรับขึ้น 2.3% และหุ้นยูเอส แบงก์คอร์ป พุ่งขึ้น 2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคร่วงลง โดยหุ้นโคคา-โคลา ดิ่งลง 4.79% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อน หุ้นเฮอร์ชีย์ ผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่ ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายช็อคโกแลตชะลอตัวลงในตลาดสหรัฐ ส่วนหุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ดิ่งลง 2.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนเม.ย.โดยมาร์กิต
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 18,096.27 จุด เพิ่มขึ้น 42.67 จุด หรือ +0.24% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,948.13 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด หรือ +0.16% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 2,102.40 จุด เพิ่มขึ้น 1.60 จุด หรือ +0.08%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกติดต่อกัน 3 วันทำการเมื่อคืนนี้ โดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบ WTI ที่ทะยานขึ้นเหนือระดับ 42 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือพุ่งขึ้นเกือบ 4% หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกหลังจากสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองในเดือนมี.ค.เพิ่มขึ้นมากกว่าคาด โดยพุ่งขึ้น 5.1% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 5.33 ล้านยูนิต ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 3.5% สู่ระดับ 5.30 ล้านยูนิต
หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นเชฟรอน ปรับขึ้น 1.2% หุ้นชลัมเบอร์เกอร์ พุ่งขึ้น 1.8% หุ้นเดวอน เอนเนอร์จี ดีดขึ้น 1.85%
หุ้นยาฮู อิงค์ พุ่งขึ้น 4.16% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาสแรกอยู่ที่ 8 เซนต์ ซึ่งสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้
หุ้นอินเทล พุ่งขึ้น 1.27% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่สูงกว่าการคาดการณ์ของตลาด นอกจากนี้ อินเทลยังได้ประกาศแผนลดจำนวนพนักงาน 12,000 ตำแหน่งทั่วโลก หรือคิดเป็นสัดส่วน 11% ของการจ้างงานในองค์กร นับเป็นการปรับลดพนักงานในอัตราส่วนสูงสุดในรอบ 10 ปี
หุ้นกลุ่มธนาคารยังคงได้รับแรงหนุนอย่างคึกคัก โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.6% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ทะยานขึ้น 3.3% หุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส ปรับขึ้น 2.3% และหุ้นยูเอส แบงก์คอร์ป พุ่งขึ้น 2%
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภคร่วงลง โดยหุ้นโคคา-โคลา ดิ่งลง 4.79% หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อน หุ้นเฮอร์ชีย์ ผู้ผลิตช็อคโกแลตรายใหญ่ ร่วงลง 3.1% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายช็อคโกแลตชะลอตัวลงในตลาดสหรัฐ ส่วนหุ้นพร็อคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล ดิ่งลง 2.1% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงหนักสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ก.พ.
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีราคาบ้านเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนเม.ย.โดยมาร์กิต