ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อคืนนี้ (14 เม.ย.) โดยการซื้อขายเป็นไปในกรอบแคบๆที่ค่อนข้างผันผวน หลังธนาคารยักษ์ใหญ่เริ่มเปิดเผยผลประกอบการ ขณะที่ทางการสหรัฐมีการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจ
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.15 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 17,926.43 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 0.36 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,082.78 จุด ส่วนดัชนีแนสแด็ก ลดลง 1.53 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 4,945.89 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวผันผวน หลังแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ รายงานว่าทางธนาคารมีกำไรร่วงลง 18% ในไตรมาสแรก โดยได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
แบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยว่ากำไรสุทธิดิ่งลงสู่ระดับ 2.22 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก หรือ 21 เซนต์/หุ้น อย่างไรก็ดีการร่วงลงของกำไรดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ขั้นต่ำของตลาด ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมธนาคารจะมีผลกำไรซบเซาที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของราคาอาหาร, เวชภัณฑ์ และที่อยู่อาศัย ถึงแม้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบรายปี
การเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดของดัชนี CPI บ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงมีท่าทีระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ในขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งใหม่ลดลงเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 253,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 1973
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.54% ขานรับผลกำไรข้างต้น ส่วนหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลดลง 0.49% หลังประกาศรายได้สุทธิซบเซา
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.15 จุด หรือ 0.10% ปิดที่ 17,926.43 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี500 เพิ่มขึ้น 0.36 จุด หรือ 0.02% ปิดที่ 2,082.78 จุด ส่วนดัชนีแนสแด็ก ลดลง 1.53 จุด หรือ 0.03% ปิดที่ 4,945.89 จุด
ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวผันผวน หลังแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่เป็นอันดับ 2 ของสหรัฐเมื่อพิจารณาจากมูลค่าสินทรัพย์ รายงานว่าทางธนาคารมีกำไรร่วงลง 18% ในไตรมาสแรก โดยได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความไม่แน่นอนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ
แบงก์ ออฟ อเมริกาเปิดเผยว่ากำไรสุทธิดิ่งลงสู่ระดับ 2.22 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก หรือ 21 เซนต์/หุ้น อย่างไรก็ดีการร่วงลงของกำไรดังกล่าวสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ขั้นต่ำของตลาด ซึ่งคาดว่าอุตสาหกรรมธนาคารจะมีผลกำไรซบเซาที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงิน
สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ขยับขึ้นเพียง 0.1% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้รับผลกระทบจากการร่วงลงของราคาอาหาร, เวชภัณฑ์ และที่อยู่อาศัย ถึงแม้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น
นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนี CPI เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบรายปี
การเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาดของดัชนี CPI บ่งชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงมีท่าทีระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
ในขณะเดียวกัน กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งใหม่ลดลงเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงระบุว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 13,000 ราย สู่ระดับ 253,000 รายในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 9 เม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 1973
หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.54% ขานรับผลกำไรข้างต้น ส่วนหุ้นเวลส์ ฟาร์โก ปรับตัวลดลง 0.49% หลังประกาศรายได้สุทธิซบเซา