ราคาทองคําในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาผันผวนค่อนข้างมาก หลังจากมีปัจจัยที่เข้ามาทั้งสนับสนุน และกดดันในระหว่างสัปดาห์ โดยในช่วงต้นสัปดาห์ราคาทองคําปรับตัวลดลงจากแรงเทขายสินทรัพย์ปลอดภัยหลังจากตลาดหุ้น และราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น แต่ในช่วงปลายสัปดาห์ราคาทองคําปรับตัวขึ้นจากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ และการร่วงลงของตลาดหุ้นหลังจากปรับตัวขึ้นหลายวันทําการติดกัน
โดยดัชนีดอลลาร์ (U.S.Dollar Index) ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุล เงินหลักๆ ในตะกร้าเงินปรับตัวลดลง ทั้งนี้ การอ่อนค่าของดอลลาร์ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาช่วยให้ทองคําซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์นั้นมีราคาถูกลง และน่าดึงดูดใจสําหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่นๆ นอกจากนี้ การร่วงลงของตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้กระตุ้นให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคําอย่างคึกคัก เนื่องจากทองคําเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย และระยะนี้มักได้รับแรงซื้อเมื่อตลาดหุ้นอยู่ในภาวะอ่อนแอ โดยเมื่อคืนวันศุกร์ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับวิกฤตราคาพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันดิบร่วงลงหลุดจากระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล อันเนื่องมาจากสต๊อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม ทองคําลดแรงบวกเนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พื้นฐานของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวเลขบ่งชี้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 0.3% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง จากดัชนี CPI พื้นฐานพุ่งใน ม.ค.ได้หนุนกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายด้านการเคหะ และเวชภัณฑ์ได้หนุนให้อัตราเงินเฟ้อของดัชนี CPI พื้นฐานทะยานขึ้นในเดือน ม.ค.มากที่สุดในรอบเกือบ 4 ปีครึ่ง ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณการดีดตัวขึ้นของแรงกดดันด้านราคา และอาจจะทําให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
นอกจากนี้แล้วการเคลื่อนไหวของราคาทองคําในช่วงนี้อาจต้องติดตามแรงซื้อที่เกิดขึ้นในกองทุน SPDR โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (25 ก.พ.) กองทุน SPDR ได้เข้าถือทองคําเพิ่มถึง 90.59 ตัน ซึ่งถ้ายังคงเดินหน้าซื้อทองคําต่อเนื่องย่อมสะท้อนความน่าสนใจในตลาดทองคําได้เป็นอย่างดี จากความผันผวนของราคานักลงทุนทองคำยังคงต้องติดตามประเด็นต่างๆ อย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังต้องมีวินัยในการลงทุน และกำหนดจุดทำกำไร-จุดตัดขาดทุน เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพต่อไป
