พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีพ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เสนอนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เสนอต่อหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ปัญหาการบริหารงานบุคคลของดีเอสไอว่า ตนไม่เกี่ยวข้องกับการเสนอใช้มาตรา 44 ของดีเอสไอ จนกระทั่งสื่อมวลชนเสนอข่าวการส่งหนังสือถึงปลัดกระทรวงยุติธรรมเพื่อส่งมามายังสำนักงานรัฐมนตรียุติธรรม เบื้องต้นได้รับคำชี้แจงว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านมานาน 7-8 ปีแล้ว ตนเข้าใจผู้บริหารยุคปัจจุบันว่า หากปล่อยให้การบริหารภายในล้มเหลวก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ และจะส่งผลกระทบทางอ้อมถึงประชาชน เพราะดีเอสไอเป็นหน่วยบังคับใช้กฎหมาย
"ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา44 แก้ไขปัญหา เพราะเกรงจะเป็นการใช้อำนาจรัฎฐาธิปัตย์เข้าไปแทรกแซงฝ่ายตุลาการเนื่องจากคดีดังกล่าวศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินเด็ดขาดแล้วดังนั้นจึงให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมนำกลับไปทบทวนให้รอบคอบ โดยเฉพาะข้ออ้างที่ระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยแก้ปัญหาในรูปแบบเดียวกันนี้ก็ต้องมีความชัดเจนว่าในกรณีสตช.มีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้วหรือไม่"พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ต้องดูว่าการใช้มาตรา 44 จะทำให้เสียกระบวนการหรือไม่เพราะต้องคำนึงถึงจิตใจของฝ่ายผู้ร้องด้วย เนื่องจากคนกลุ่มนี้ตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการเลื่อนขั้นมาอย่างน้อย 2-3 ระดับแล้ว แต่การที่ไม่ยอมถอนฟ้องเพราะพวกเขาต้องการให้เกิดความเป็นธรรม นอกจากฟ้องศาลปกครองให้ล้มกระบวนการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ยังยื่นฟ้องอดีตอธิบดีดีเอสไอที่ใช้อำนาจแต่งตั้งไม่เป็นธรรมในฐานะส่วนตัวด้วย แต่ขณะเดียวกันหากต้องมีการคืนสู่ตำแหน่งเดิมของข้าราชการ 300 อัตรา ก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ปฏิบัติงานเช่นกัน
"ผมได้ย้ำให้เข้าไปพูดคุยเป็นการภายใน เพื่อหาแนวแก้ปัญหาให้ดีที่สุดยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหาให้กับดีเอสไอ แต่ยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่จะให้ใช้มาตรา 44 เข้าไปแก้ขอให้ไปพูดคุยกับแบบพี่ๆน้องๆมาก่อน เพื่อไม่ให้ดีเอสไอกลายเป็นองค์กรที่การบริหารงานล้มเหลวหากมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลรอบคอบว่ามาตรา 44 เป็นทางเดียวที่แก้ปัญหาได้โดยไม่มีผลกระทบ ก็ค่อยเสนอมายังสำนักงานรัฐมนตรีอีกครั้ง" รมว.ยุติธรรมระบุ
"ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้มาตรา44 แก้ไขปัญหา เพราะเกรงจะเป็นการใช้อำนาจรัฎฐาธิปัตย์เข้าไปแทรกแซงฝ่ายตุลาการเนื่องจากคดีดังกล่าวศาลปกครองสูงสุดมีคำตัดสินเด็ดขาดแล้วดังนั้นจึงให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมนำกลับไปทบทวนให้รอบคอบ โดยเฉพาะข้ออ้างที่ระบุว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เคยแก้ปัญหาในรูปแบบเดียวกันนี้ก็ต้องมีความชัดเจนว่าในกรณีสตช.มีคำพิพากษาเด็ดขาดแล้วหรือไม่"พล.อ.ไพบูลย์ กล่าว
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวต่อว่านอกจากนี้ต้องดูว่าการใช้มาตรา 44 จะทำให้เสียกระบวนการหรือไม่เพราะต้องคำนึงถึงจิตใจของฝ่ายผู้ร้องด้วย เนื่องจากคนกลุ่มนี้ตลอด 7-8 ปีที่ผ่านมา ก็ได้รับการเลื่อนขั้นมาอย่างน้อย 2-3 ระดับแล้ว แต่การที่ไม่ยอมถอนฟ้องเพราะพวกเขาต้องการให้เกิดความเป็นธรรม นอกจากฟ้องศาลปกครองให้ล้มกระบวนการแต่งตั้งที่ไม่เป็นธรรมแล้ว ยังยื่นฟ้องอดีตอธิบดีดีเอสไอที่ใช้อำนาจแต่งตั้งไม่เป็นธรรมในฐานะส่วนตัวด้วย แต่ขณะเดียวกันหากต้องมีการคืนสู่ตำแหน่งเดิมของข้าราชการ 300 อัตรา ก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้ปฏิบัติงานเช่นกัน
"ผมได้ย้ำให้เข้าไปพูดคุยเป็นการภายใน เพื่อหาแนวแก้ปัญหาให้ดีที่สุดยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่เห็นทางแก้ปัญหาให้กับดีเอสไอ แต่ยังไม่เห็นด้วยกับแนวทางที่จะให้ใช้มาตรา 44 เข้าไปแก้ขอให้ไปพูดคุยกับแบบพี่ๆน้องๆมาก่อน เพื่อไม่ให้ดีเอสไอกลายเป็นองค์กรที่การบริหารงานล้มเหลวหากมีการศึกษาและรวบรวมข้อมูลรอบคอบว่ามาตรา 44 เป็นทางเดียวที่แก้ปัญหาได้โดยไม่มีผลกระทบ ก็ค่อยเสนอมายังสำนักงานรัฐมนตรีอีกครั้ง" รมว.ยุติธรรมระบุ