การประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) วันนี้ (4 เม.ย.) คณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ได้รายงานผลการศึกษาเรื่องการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยนายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานกรรมาธิการ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการบังคับใช้บทลงโทษผู้ที่กระทำการซื้อสิทธิขายเสียงนั้นไม่เข้มข้น จึงไม่ก่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อกฎหมาย อีกทั้งอำนาจเบ็ดเสร็จยังอยู่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพียงหน่วยงานเดียว
นายวันชัย สอนศิริ กรรมาธิการฯ ชี้แจงวิธีการปฏิรูป 8 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกำหนดให้การเลือกตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ภาครัฐและเอกชนต้องปลุกเร้าด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ให้ประชาชนตื่นตัว
2.ปฏิรูปการป้องกันทุจริตการเลือกตั้ง ด้วยการกำหนดว่า หากหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นในการซื้อเสียงต้องถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต และหากสมาชิกพรรครู้เห็นเรื่องการซื้อเสียง แต่เพิกเฉยไม่แจ้งต่อ กกต.ก็ถือว่ามีความผิดด้วยเช่นกัน
3.ปฏิรูปป้องกันธุรกิจนักการเมืองและนายทุนพรรคการเมือง โดยให้มีมาตรการป้องกันระบบทุนครอบงำพรรคการเมือง ลดภาระค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองและของผู้สมัครรับเลือกตั้งในการหาเสียง โดยให้รัฐสนับสนุนหรือช่วยเหลือการหาเสียงของผู้สมัคร เช่น การพิมพ์ป้ายโฆษณา หรือ กกต.ต้องจัดพื้นที่ในการปราศรัยหาเสียงย่านชุมชนให้อย่างเหมาะสม 4.ปฏิรูปตรวจสอบและพัฒนานักการเมือง โดยกำหนดว่า ใครจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องแสดงตนก่อน 1 ปี เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ อีกทั้งผู้สมัครต้องเข้าร่วมอารอบรมหลักสูตรที่จัดโดย กกต.ก่อนเข้าสู่การเมือง
5. ปฏิรูปการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ กกต. ซึ่งต้องทำงานในเชิงรุก จัดส่งเจ้าหน้าที่ กกต.เข้าไปในพื้นที่ เพื่อแสวงหาข่าวเชิงลึก และกำหนดให้มีมาตรการบังคับอย่างจริงจัง ในการสั่งการให้ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อช่วยเหลืองานของ กกต.ได้
6.การกำหนดมาตรการลงโทษ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยการกำหนดบทลงโทษทางอาญาอย่างรุนแรงกับผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ให้มีโทษจำคุก 1 ปี ถึง 30 ปี โดยไม่ให้รอลงอาญา และให้มีโทษปรับถึง 20 ล้านบาท มีอายุความ 20 ปี
7.การดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการจัดตั้งศาลเลือกตั้ง โดยให้มีศาลแผนกคดีเลือกตั้ง และวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้งอยู่ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาของศาลยุติธรรม และให้พัฒนาศาลยุติธรรมเป็นศาลเลือกตั้งโดยเฉพาะต่อไป และ 8. การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ โดยปรับใช้เครื่องลงคะแนนเลือกตั้งโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์
นายวันชัย สอนศิริ กรรมาธิการฯ ชี้แจงวิธีการปฏิรูป 8 เรื่อง ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยกำหนดให้การเลือกตั้งเป็นวาระแห่งชาติ ภาครัฐและเอกชนต้องปลุกเร้าด้วยการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่ให้ประชาชนตื่นตัว
2.ปฏิรูปการป้องกันทุจริตการเลือกตั้ง ด้วยการกำหนดว่า หากหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค มีส่วนรู้เห็นในการซื้อเสียงต้องถูกตัดสิทธิ์ตลอดชีวิต และหากสมาชิกพรรครู้เห็นเรื่องการซื้อเสียง แต่เพิกเฉยไม่แจ้งต่อ กกต.ก็ถือว่ามีความผิดด้วยเช่นกัน
3.ปฏิรูปป้องกันธุรกิจนักการเมืองและนายทุนพรรคการเมือง โดยให้มีมาตรการป้องกันระบบทุนครอบงำพรรคการเมือง ลดภาระค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองและของผู้สมัครรับเลือกตั้งในการหาเสียง โดยให้รัฐสนับสนุนหรือช่วยเหลือการหาเสียงของผู้สมัคร เช่น การพิมพ์ป้ายโฆษณา หรือ กกต.ต้องจัดพื้นที่ในการปราศรัยหาเสียงย่านชุมชนให้อย่างเหมาะสม 4.ปฏิรูปตรวจสอบและพัฒนานักการเมือง โดยกำหนดว่า ใครจะลงสมัครรับเลือกตั้ง ต้องแสดงตนก่อน 1 ปี เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติ อีกทั้งผู้สมัครต้องเข้าร่วมอารอบรมหลักสูตรที่จัดโดย กกต.ก่อนเข้าสู่การเมือง
5. ปฏิรูปการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับ กกต. ซึ่งต้องทำงานในเชิงรุก จัดส่งเจ้าหน้าที่ กกต.เข้าไปในพื้นที่ เพื่อแสวงหาข่าวเชิงลึก และกำหนดให้มีมาตรการบังคับอย่างจริงจัง ในการสั่งการให้ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง เพื่อช่วยเหลืองานของ กกต.ได้
6.การกำหนดมาตรการลงโทษ เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม โดยการกำหนดบทลงโทษทางอาญาอย่างรุนแรงกับผู้กระทำความผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง ให้มีโทษจำคุก 1 ปี ถึง 30 ปี โดยไม่ให้รอลงอาญา และให้มีโทษปรับถึง 20 ล้านบาท มีอายุความ 20 ปี
7.การดำเนินคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการจัดตั้งศาลเลือกตั้ง โดยให้มีศาลแผนกคดีเลือกตั้ง และวิธีพิจารณาคดีเลือกตั้งอยู่ในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาของศาลยุติธรรม และให้พัฒนาศาลยุติธรรมเป็นศาลเลือกตั้งโดยเฉพาะต่อไป และ 8. การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ โดยปรับใช้เครื่องลงคะแนนเลือกตั้งโดยระบบอิเล็กทรอนิกส์