พระพุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม โพสต์เฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" ถึงกรณีที่พระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท เลขาธิการพิทักษ์พระพุทธศาสนา ภาคใต้ วัดเกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา มีจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้พระสงฆ์ร่วมกันขับไล่พระพุทธะอิสระพ้นจากหมู่สงฆ์ เนื่องจากได้สร้างความเสียหายให้แก่พระพุทธศาสนา ว่า อย่าเอามาข่มขู่เสียให้ยาก ต่อให้คนทั้งแผ่นดิน หรือต่อให้สังฆมณฑล มาข่มขู่ขับไล่ก็ไม่สามารถหยุดพระพุทธะอิสระได้ นอกเสียจากความตาย
ทั้งนี้ไม่เคยไปขอพึ่งพาอาศัยคณะสงฆ์ใด และไม่เคยก้มหัวให้ความอยุติธรรมใดๆ สงฆ์หมู่ใดจะมาประกาศขับไล่ออกจากหมู่คณะ ขอถามกลับไปว่าพวกท่านเคยสร้างบุญคุณ หรือให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้สังฆกรรมแก่พุทธะอิสระตั้งแต่เมื่อไหร่ หากไม่เคยแล้วใช้สิทธิอะไรมาประกาศขับไล่
นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระ ได้อ้างถึงหลักพระวินัยในการลงทัณฑ์ต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติ ในบทนิคหกรรม 6 ข้อ เพื่อโต้แย้งพระปลัดนรุตม์ชัย ระบุตอนหนึ่งว่า การที่พระปลัดนรุตม์ชัย ประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรมขับไล่พุทธะอิสระ คำว่า อุกเปขนียกรรม คือการวางอุเบกขาต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติว่ายากสอนยาก ส่วนถ้าจะขับไล่ภิกษุออกจากหมู่สงฆ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะให้ทำปัพพาชนียกรรม คือกรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ประพฤติเลวทราม เห็นแก่ลาภสักการะ อนาจาร และลบล้างพระบัญญัติ ไม่ใช่การประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรม ตามที่พระปลัดนรุตม์ชัยกล่าวอ้าง
ในตอนท้าย พระพุทธะอิสระ ระบุด้วยว่า จะดำเนินการฟ้องร้องพระปลัดนรุตม์ชัย ในข้อหาฐานละเมิด
สำหรับเนื้อความที่พระพุทธะอิสระโพสต์ในเฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" มีดังนี้
ตอบ พระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ แห่งวัดเกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙
พุทธะอิสระขอบอกว่า อย่าเอาพวกมากมาข่มขู่เสียให้ยากเลย
ต่อให้คนทั้งแผ่นดินจะมารุมข่มขู่ คุกคาม ดูถูกเหยียดหยามเข่นฆ่า
หากพุทธะอิสระยังเชื่อมั่นว่าพระบรมศาสดาทรงชนะทุกข์และพญามารด้วยความเป็นจริง
ต่อให้ทั้งสังฆมณฑลจะขู่ฟ้องหรือขับไล่
ก็ไม่สามารถหยุดพุทธะอิสระได้นอกจากความตาย
พ่อแม่ให้เลือดเนื้อชีวิตและลมหายใจ
พระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ผู้บวชใหม่ที่เขามาร่วมนั่งหัตถบาส ให้การเกิดใหม่ในตระกูลศากยะ
หลังจากบวชแล้วก็ยึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดมา
โดยเฉพาะเรื่อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน มาตลอด
พุทธะอิสระไม่เคยไปขอพึ่งพาอาศัยคณะสงฆ์ใดๆ นอกจากคณะสงฆ์ภายในวัด
เมื่อพุทธะอิสระบวชเข้ามาจนปีกกล้า ขาแข็ง พอจะมีสติปัญญาแยกแยะได้ว่า อะไรคือธรรม อะไรคืออธรรม
ทั้งได้แสดงการต่อต้านพวกอลัชชีชั่วช้ามาตั้งแต่เรียนจบนักธรรมตรี
พุทธะอิสระไม่เคยก้มหัวให้ความอยุติธรรมใดๆ จากผู้มีอำนาจกลุ่มไหน
โดยมีคติประจำใจว่า เสียชีพ จะไม่ยอมเสียสัจ
เอาเป็นว่า สงฆ์หมู่ใดจะประกาศขับไล่พุทธะอิสระออกจากหมู่คณะ
ขอถามว่าพุทธะอิสระไปร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมแบ่งลาภ กับพวกท่านตั้งแต่เมื่อไหร่
พวกท่านมาสร้างบุญคุณเคยอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่พุทธะอิสระตอนไหน
หรือพวกท่านเคยให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้สังฆกรรมแก่พุทธะอิสระมาก่อนหรือไง
เพราะนี่คือเหตุผลที่สงฆ์จะสามารถประกาศขับไล่พุทธะอิสระได้ตามพุทธบัญญัติ
หากไม่เคย แล้วท่านเอาสิทธิอะไรมาประกาศขับไล่พุทธะอิสระ
หรือเพราะพุทธะอิสระไม่ยอมห่มจีวรแดงเป็นพวกเดียวกับอลัชชีขายชาติบางคน
ไหนๆ เฮียปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท อุตส่าห์พูดถึงหลักพระวินัยในการลงทัณฑ์ต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติที่ปรากฏอยู่ในบทนิคหกรรม คือการลงโทษตามพระธรรมวินัย สังฆกรรมที่สงฆ์ใช้ลงโทษผู้กระทำผิดแล้ว ก็ขอยกมาแสดงให้ดูกันชัดๆ เป็นวิทยาทานแก่ผู้ไม่รู้
วิธีลงทัณฑ์ต่อพระภิกษุผู้ละเมิดพระบัญญัติ ทรงแสดงเอาไว้ ๖ อย่างคือ
..........................................................
๑. ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่,
สังฆกรรมประเภทนิคคหกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสงฆ์ทำการตำหนิโทษภิกษุผู้ก่อความทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์ เป็นผู้มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร
วิธีทำตัชชนียกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีทำตัชชนียกรรม พึงทำอย่างนี้ คือ ชั้นต้น
พึงโจทภิกษุพวกพระปัณฑุกะและโลหิตกะ ครั้นแล้ว พึงให้พวกเธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๒. นิยสกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศ ได้แก่ การถอดยศ,
เป็นชื่อนิคคหกรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้มีอาบัติมาก หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่ควร โดยปรับให้ถือนิสัยใหม่อีก;
วิธีทำนิยสกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงทำนิยสกรรมอย่างนี้ คือชั้นต้นพึงโจท
ภิกษุเสยยสกะ ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๓. ปัพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันพึงจะไล่เสีย, การขับออกจากหมู่, การไล่ออกจากวัด,
กรรมนี้สงฆ์ทำแก่
ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลและประพฤติเลวทรามเป็นข่าวเซ็งแซ่ หรือแก่
ภิกษุผู้เล่นคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบล้างพระบัญญัติ ๑ มิจฉาชีพ ๑
วิธีทำปัพพาชนียกรรม
[๘๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลปัพพาชนียกรรม
พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้วพึงให้พวกเธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๔. ปฏิสารณียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไป
หมายถึง การที่สงฆ์ลงโทษให้ภิกษุไปขอขมาคฤหัสถ์ กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุปากกล้า ด่าว่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นทายก อุปฐากสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ เป็นทางจะยังคนผู้ยังไม่เลื่อมใสมิให้เลื่อมใส จะยังคนผู้เลื่อมใสอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปเสีย;
วิธีทำปฏิสารณียกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีทำปฏิสารณียกรรมพึงทำอย่างนี้ พึงโจทภิกษุสุธรรมก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๕. อุกเขปนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย
หมายถึง วิธีการลงโทษที่สงฆ์กระทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ หรือไม่ยอมทำคืนอาบัติ หรือมีความเห็นชั่วร้าย (ทิฏฐิบาป) ไม่ยอมสละซึ่งเป็นทางเสียสีลสามัญญตา หรือ ทิฏฐิสามัญญตา โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ์
คือ ไม่ให้ฉันร่วม ไม่ให้อยู่ร่วม ไม่ให้มีสิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลาย
พูดง่ายๆ ว่า ถูกตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราว
วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุฉันนะก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
วิธีทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ
[๒๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ พึงทำอย่างนี้
พึงโจทภิกษุฉันนะก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่าดังนี้:-
วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิเป็นบาป
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๖. ตัสสปาปิยสิกากรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำเพราะความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้เลวทราม,
กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้เป็นจำเลยในอนุวาทาธิกรณ์ ให้การกลับไปกลับมา เดี๋ยวปฏิเสธ เดี๋ยวสารภาพ พูดถลากไถล พูดกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซัก พูดมุสาซึ่งหน้า สงฆ์ทำกรรมนี้แก่เธอเป็นการลงโทษตามความผิดแม้ว่าเธอจะไม่รับ หรือเพื่อเพิ่มโทษจากอาบัติที่ต้องสงฆ์ทำตัสสปาปิยสิกากรรม
[๖๑๔] สมัยนั้นแล พระอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติ ในท่ามกลางสงฆ์ ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงได้ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงทำตัสสปาปิยสิกากรรม ๑- แก่ภิกษุอุปวาฬ
ก็แล สงฆ์พึงทำอย่างนี้ พึงโจทภิกษุอุปวาฬก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
.....................................................
ไม่รู้ว่าเฮียปลัดหน้าละอ่อนจะอ่านเข้าใจไหม
และที่เฮียปลัดเที่ยวประกาศว่าจะลงอุกเขปียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ แล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ และไม่ยอมทำคืนอาบัติ
หรือมีมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้มีศีลอันบกพร่องอยู่เป็นนิจ
เป็นผู้มีความเห็นไม่ตรงต่อหลักพระธรรมวินัย
ภิกษุเช่นนี้ หมู่สงฆ์จะไม่ให้ฉันร่วม ไม่ให้อยู่ร่วม ไม่ให้มีสิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลาย
ขอถามเฮียปลัดว่า
พุทธะอิสระต้องอาบัติอะไรหรือไม่ยอมรับในอาบัติอะไร
พุทธะอิสระไม่ทำคืนอาบัติอะไร
พุทธะอิสระมีศีลข้อไหนบกพร่อง
พุทธะอิสระมีมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นที่คลาดเคลื่อนกับพระธรรมวินัยข้อไหน เรื่องอะไร
ทีนี้มาดูวิธีลงโทษตามบทบัญญัติของอุกเขปนียกรรม ที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะนำไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีลงอุกเขปนียกรรมในความผิดฐานไม่เห็นอาบัติ พึงกระทำอย่างนี้คือ
พึงโจทก์ภิกษุนั้นก่อน แล้วเปิดโอกาสให้ภิกษุนั้นให้การ แล้วจึงปรับอาบัตินั้นต่อหน้า
ภิกษุผู้รู้ ฉลาดในพระธรรมวินัย พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัติจตุตกรรมวาจา คือการกล่าววาจาครบ ๔ รอบ
อุกเขปนียกรรมนี้ ทรงแนะให้หมู่สงฆ์ลงโทษต่อพระฉันนะผู้ว่ายากสอนยาก
ถามอาเฮียปลัดว่า
เฮียคิดจะอ้างเอาพระวินัยมาจัดการกับพุทธะอิสระ
เฮียรู้วินัยจริงๆ หรือเปล่า หรือไปจำใครเขามาเล่าให้ฟัง
เฮียประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรม แล้วเฮียก็ประกาศว่าเป็นการขับไล่พุทธะอิสระออกจากหมู่สงฆ์
เฮียไปอ่านพระไตรปิฎกฉบับธรรมกายมาหรือ ถึงได้มั่วนิ่มได้ขนาดนี้
คำว่าอุกเปขนียกรรมหมายถึง การวางอุเบกขาต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติ ว่ายากสอนยาก
ส่วนถ้าจะขับไล่ภิกษุใดออกจากหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะให้ทำปัพพาชนียกรรม
กรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ประพฤติเลวทราม เห็นแก่ลาภสักการะ อนาจาร และลบล้างพระบัญญัติ
วิธีนี้ควรกระทำกับพวกอลัชชีที่บิดเบือนพระธรรมวินัย เช่น พวกธรรมกาย และพวกมักมากอย่างเฮียแหละ เก็ทไหมเฮีย
ทีหลังหากจะโชว์โง่ ต้องระวังคุกหน่อย
เพราะสิ่งที่เฮียประกาศออกมานี้
เฮียกำลังทำผิดหลักธรรมวินัย ผิดกฎหมายในข้อหาละเมิด
เตรียมหาเงินเอาไว้จ่ายค่าปรับและประกันตัวในชั้นศาลก็แล้วกันนะ เฮียปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท
เอาไว้เจอกันในศาลนะเฮีย
พุทธะอิสระ
ทั้งนี้ไม่เคยไปขอพึ่งพาอาศัยคณะสงฆ์ใด และไม่เคยก้มหัวให้ความอยุติธรรมใดๆ สงฆ์หมู่ใดจะมาประกาศขับไล่ออกจากหมู่คณะ ขอถามกลับไปว่าพวกท่านเคยสร้างบุญคุณ หรือให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้สังฆกรรมแก่พุทธะอิสระตั้งแต่เมื่อไหร่ หากไม่เคยแล้วใช้สิทธิอะไรมาประกาศขับไล่
นอกจากนี้ พระพุทธะอิสระ ได้อ้างถึงหลักพระวินัยในการลงทัณฑ์ต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติ ในบทนิคหกรรม 6 ข้อ เพื่อโต้แย้งพระปลัดนรุตม์ชัย ระบุตอนหนึ่งว่า การที่พระปลัดนรุตม์ชัย ประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรมขับไล่พุทธะอิสระ คำว่า อุกเปขนียกรรม คือการวางอุเบกขาต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติว่ายากสอนยาก ส่วนถ้าจะขับไล่ภิกษุออกจากหมู่สงฆ์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะให้ทำปัพพาชนียกรรม คือกรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ประพฤติเลวทราม เห็นแก่ลาภสักการะ อนาจาร และลบล้างพระบัญญัติ ไม่ใช่การประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรม ตามที่พระปลัดนรุตม์ชัยกล่าวอ้าง
ในตอนท้าย พระพุทธะอิสระ ระบุด้วยว่า จะดำเนินการฟ้องร้องพระปลัดนรุตม์ชัย ในข้อหาฐานละเมิด
สำหรับเนื้อความที่พระพุทธะอิสระโพสต์ในเฟซบุ๊ก "หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara)" มีดังนี้
ตอบ พระปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนาภาคใต้ แห่งวัดเกาะใหญ่ อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา
๒๖ มีนาคม ๒๕๕๙
พุทธะอิสระขอบอกว่า อย่าเอาพวกมากมาข่มขู่เสียให้ยากเลย
ต่อให้คนทั้งแผ่นดินจะมารุมข่มขู่ คุกคาม ดูถูกเหยียดหยามเข่นฆ่า
หากพุทธะอิสระยังเชื่อมั่นว่าพระบรมศาสดาทรงชนะทุกข์และพญามารด้วยความเป็นจริง
ต่อให้ทั้งสังฆมณฑลจะขู่ฟ้องหรือขับไล่
ก็ไม่สามารถหยุดพุทธะอิสระได้นอกจากความตาย
พ่อแม่ให้เลือดเนื้อชีวิตและลมหายใจ
พระอุปัชฌาย์และคณะสงฆ์ผู้บวชใหม่ที่เขามาร่วมนั่งหัตถบาส ให้การเกิดใหม่ในตระกูลศากยะ
หลังจากบวชแล้วก็ยึดมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอดมา
โดยเฉพาะเรื่อง อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน มาตลอด
พุทธะอิสระไม่เคยไปขอพึ่งพาอาศัยคณะสงฆ์ใดๆ นอกจากคณะสงฆ์ภายในวัด
เมื่อพุทธะอิสระบวชเข้ามาจนปีกกล้า ขาแข็ง พอจะมีสติปัญญาแยกแยะได้ว่า อะไรคือธรรม อะไรคืออธรรม
ทั้งได้แสดงการต่อต้านพวกอลัชชีชั่วช้ามาตั้งแต่เรียนจบนักธรรมตรี
พุทธะอิสระไม่เคยก้มหัวให้ความอยุติธรรมใดๆ จากผู้มีอำนาจกลุ่มไหน
โดยมีคติประจำใจว่า เสียชีพ จะไม่ยอมเสียสัจ
เอาเป็นว่า สงฆ์หมู่ใดจะประกาศขับไล่พุทธะอิสระออกจากหมู่คณะ
ขอถามว่าพุทธะอิสระไปร่วมกิน ร่วมนอน ร่วมแบ่งลาภ กับพวกท่านตั้งแต่เมื่อไหร่
พวกท่านมาสร้างบุญคุณเคยอนุเคราะห์สงเคราะห์แก่พุทธะอิสระตอนไหน
หรือพวกท่านเคยให้ข้าว ให้น้ำ ให้ที่อยู่อาศัย ให้สังฆกรรมแก่พุทธะอิสระมาก่อนหรือไง
เพราะนี่คือเหตุผลที่สงฆ์จะสามารถประกาศขับไล่พุทธะอิสระได้ตามพุทธบัญญัติ
หากไม่เคย แล้วท่านเอาสิทธิอะไรมาประกาศขับไล่พุทธะอิสระ
หรือเพราะพุทธะอิสระไม่ยอมห่มจีวรแดงเป็นพวกเดียวกับอลัชชีขายชาติบางคน
ไหนๆ เฮียปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท อุตส่าห์พูดถึงหลักพระวินัยในการลงทัณฑ์ต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติที่ปรากฏอยู่ในบทนิคหกรรม คือการลงโทษตามพระธรรมวินัย สังฆกรรมที่สงฆ์ใช้ลงโทษผู้กระทำผิดแล้ว ก็ขอยกมาแสดงให้ดูกันชัดๆ เป็นวิทยาทานแก่ผู้ไม่รู้
วิธีลงทัณฑ์ต่อพระภิกษุผู้ละเมิดพระบัญญัติ ทรงแสดงเอาไว้ ๖ อย่างคือ
..........................................................
๑. ตัชชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงขู่,
สังฆกรรมประเภทนิคคหกรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งสงฆ์ทำการตำหนิโทษภิกษุผู้ก่อความทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ขึ้นในสงฆ์ เป็นผู้มีอาบัติมาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ในทางที่ไม่สมควร
วิธีทำตัชชนียกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีทำตัชชนียกรรม พึงทำอย่างนี้ คือ ชั้นต้น
พึงโจทภิกษุพวกพระปัณฑุกะและโลหิตกะ ครั้นแล้ว พึงให้พวกเธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๒. นิยสกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำให้เป็นผู้ไร้ยศ ได้แก่ การถอดยศ,
เป็นชื่อนิคคหกรรมที่สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้มีอาบัติมาก หรือคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่ควร โดยปรับให้ถือนิสัยใหม่อีก;
วิธีทำนิยสกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงทำนิยสกรรมอย่างนี้ คือชั้นต้นพึงโจท
ภิกษุเสยยสกะ ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๓. ปัพพาชนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันพึงจะไล่เสีย, การขับออกจากหมู่, การไล่ออกจากวัด,
กรรมนี้สงฆ์ทำแก่
ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุลและประพฤติเลวทรามเป็นข่าวเซ็งแซ่ หรือแก่
ภิกษุผู้เล่นคะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบล้างพระบัญญัติ ๑ มิจฉาชีพ ๑
วิธีทำปัพพาชนียกรรม
[๘๘] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลปัพพาชนียกรรม
พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะก่อน ครั้นแล้วพึงให้พวกเธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๔. ปฏิสารณียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงให้กลับไป
หมายถึง การที่สงฆ์ลงโทษให้ภิกษุไปขอขมาคฤหัสถ์ กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุปากกล้า ด่าว่าคฤหัสถ์ผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นทายก อุปฐากสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ เป็นทางจะยังคนผู้ยังไม่เลื่อมใสมิให้เลื่อมใส จะยังคนผู้เลื่อมใสอยู่แล้วให้เป็นอย่างอื่นไปเสีย;
วิธีทำปฏิสารณียกรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีทำปฏิสารณียกรรมพึงทำอย่างนี้ พึงโจทภิกษุสุธรรมก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๕. อุกเขปนียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำแก่ภิกษุอันจะพึงยกเสีย
หมายถึง วิธีการลงโทษที่สงฆ์กระทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติแล้ว ไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ หรือไม่ยอมทำคืนอาบัติ หรือมีความเห็นชั่วร้าย (ทิฏฐิบาป) ไม่ยอมสละซึ่งเป็นทางเสียสีลสามัญญตา หรือ ทิฏฐิสามัญญตา โดยยกเธอเสียจากการสมโภคกับสงฆ์
คือ ไม่ให้ฉันร่วม ไม่ให้อยู่ร่วม ไม่ให้มีสิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลาย
พูดง่ายๆ ว่า ถูกตัดสิทธิแห่งภิกษุชั่วคราว
วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุฉันนะก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
วิธีทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ
[๒๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีทำอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ พึงทำอย่างนี้
พึงโจทภิกษุฉันนะก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจาว่าดังนี้:-
วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิเป็นบาป
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล วิธีลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละทิฐิอันเป็นบาป พึงทำอย่างนี้ คือ พึงโจทภิกษุอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้งก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้ว ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
๖. ตัสสปาปิยสิกากรรม กรรมอันสงฆ์พึงทำเพราะความที่ภิกษุนั้นเป็นผู้เลวทราม,
กรรมนี้สงฆ์ทำแก่ภิกษุผู้เป็นจำเลยในอนุวาทาธิกรณ์ ให้การกลับไปกลับมา เดี๋ยวปฏิเสธ เดี๋ยวสารภาพ พูดถลากไถล พูดกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซัก พูดมุสาซึ่งหน้า สงฆ์ทำกรรมนี้แก่เธอเป็นการลงโทษตามความผิดแม้ว่าเธอจะไม่รับ หรือเพื่อเพิ่มโทษจากอาบัติที่ต้องสงฆ์ทำตัสสปาปิยสิกากรรม
[๖๑๔] สมัยนั้นแล พระอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติ ในท่ามกลางสงฆ์ ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงได้ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุอุปวาฬถูกซักถามถึงอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ปฏิเสธแล้วปฏิญาณ ปฏิญาณแล้วปฏิเสธ ให้การกลับไปกลับมา กล่าวเท็จทั้งรู้อยู่ จริงหรือ
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียน ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล สงฆ์จงทำตัสสปาปิยสิกากรรม ๑- แก่ภิกษุอุปวาฬ
ก็แล สงฆ์พึงทำอย่างนี้ พึงโจทภิกษุอุปวาฬก่อน ครั้นแล้วพึงให้เธอให้การ แล้วพึงปรับอาบัติ ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
.....................................................
ไม่รู้ว่าเฮียปลัดหน้าละอ่อนจะอ่านเข้าใจไหม
และที่เฮียปลัดเที่ยวประกาศว่าจะลงอุกเขปียกรรม กรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ แล้วไม่ยอมรับว่าเป็นอาบัติ และไม่ยอมทำคืนอาบัติ
หรือมีมิจฉาทิฏฐิ เป็นผู้มีศีลอันบกพร่องอยู่เป็นนิจ
เป็นผู้มีความเห็นไม่ตรงต่อหลักพระธรรมวินัย
ภิกษุเช่นนี้ หมู่สงฆ์จะไม่ให้ฉันร่วม ไม่ให้อยู่ร่วม ไม่ให้มีสิทธิเสมอกับภิกษุทั้งหลาย
ขอถามเฮียปลัดว่า
พุทธะอิสระต้องอาบัติอะไรหรือไม่ยอมรับในอาบัติอะไร
พุทธะอิสระไม่ทำคืนอาบัติอะไร
พุทธะอิสระมีศีลข้อไหนบกพร่อง
พุทธะอิสระมีมิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นที่คลาดเคลื่อนกับพระธรรมวินัยข้อไหน เรื่องอะไร
ทีนี้มาดูวิธีลงโทษตามบทบัญญัติของอุกเขปนียกรรม ที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะนำไว้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีลงอุกเขปนียกรรมในความผิดฐานไม่เห็นอาบัติ พึงกระทำอย่างนี้คือ
พึงโจทก์ภิกษุนั้นก่อน แล้วเปิดโอกาสให้ภิกษุนั้นให้การ แล้วจึงปรับอาบัตินั้นต่อหน้า
ภิกษุผู้รู้ ฉลาดในพระธรรมวินัย พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัติจตุตกรรมวาจา คือการกล่าววาจาครบ ๔ รอบ
อุกเขปนียกรรมนี้ ทรงแนะให้หมู่สงฆ์ลงโทษต่อพระฉันนะผู้ว่ายากสอนยาก
ถามอาเฮียปลัดว่า
เฮียคิดจะอ้างเอาพระวินัยมาจัดการกับพุทธะอิสระ
เฮียรู้วินัยจริงๆ หรือเปล่า หรือไปจำใครเขามาเล่าให้ฟัง
เฮียประกาศใช้หลักอุกเขปนียกรรม แล้วเฮียก็ประกาศว่าเป็นการขับไล่พุทธะอิสระออกจากหมู่สงฆ์
เฮียไปอ่านพระไตรปิฎกฉบับธรรมกายมาหรือ ถึงได้มั่วนิ่มได้ขนาดนี้
คำว่าอุกเปขนียกรรมหมายถึง การวางอุเบกขาต่อภิกษุผู้ละเมิดอาบัติ ว่ายากสอนยาก
ส่วนถ้าจะขับไล่ภิกษุใดออกจากหมู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแนะให้ทำปัพพาชนียกรรม
กรรมอันสงฆ์พึงกระทำแก่ภิกษุผู้ประทุษร้ายสกุล ประพฤติเลวทราม เห็นแก่ลาภสักการะ อนาจาร และลบล้างพระบัญญัติ
วิธีนี้ควรกระทำกับพวกอลัชชีที่บิดเบือนพระธรรมวินัย เช่น พวกธรรมกาย และพวกมักมากอย่างเฮียแหละ เก็ทไหมเฮีย
ทีหลังหากจะโชว์โง่ ต้องระวังคุกหน่อย
เพราะสิ่งที่เฮียประกาศออกมานี้
เฮียกำลังทำผิดหลักธรรมวินัย ผิดกฎหมายในข้อหาละเมิด
เตรียมหาเงินเอาไว้จ่ายค่าปรับและประกันตัวในชั้นศาลก็แล้วกันนะ เฮียปลัดนรุตม์ชัย อภินนฺโท
เอาไว้เจอกันในศาลนะเฮีย
พุทธะอิสระ