นายวิฑูรย์ กุลเจริญวิรัตน์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) กล่าวว่า เร็ว ๆ นี้ทราบว่าทางคณะกรรมการบริษัทท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด (แทปไลน์) จะมีการประชุมเพื่อตัดสินใจเรื่องอัตราการให้บริการหากมีการต่อเชื่อมท่อน้ำมันไป ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งจะทำให้โครงการท่อน้ำมันไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความคืบหน้า หลังจากเอกชนแสดงความสนใจจะลงทุน แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เพราะต้องรอการตัดสินใจของแทปไลน์
ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการการขนส่งน้ำมันของไทยผ่านระบบท่อนั้น ดำเนินการโดยเอกชน 2 บริษัท คือ บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด (เอฟพีที) ที่ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากมายังคลังน้ำมันบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา และมีโครงการต่อขึ้นภาคเหนือ ขณะที่แทปไลน์ ให้บริการขนส่งน้ำมันเส้นทางศรีราชา-สระบุรี และจะต่อขึ้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งการแยกกันให้บริการลูกค้า ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันไปในภูมิภาค และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้เป็นระบบโครงข่ายเดียวกัน ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงต้องเป็นตัวกลางในการเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวกัน โดยอาจจะมีรัฐเข้ามาร่วมถือหุ้น หรือเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)
ด้านนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (PTIT) กล่าวว่า ปัจจุบันโครงการการขนส่งน้ำมันของไทยผ่านระบบท่อนั้น ดำเนินการโดยเอกชน 2 บริษัท คือ บริษัทขนส่งน้ำมันทางท่อจำกัด (เอฟพีที) ที่ให้บริการขนส่งน้ำมันทางท่อจากโรงกลั่นน้ำมันบางจากมายังคลังน้ำมันบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา และมีโครงการต่อขึ้นภาคเหนือ ขณะที่แทปไลน์ ให้บริการขนส่งน้ำมันเส้นทางศรีราชา-สระบุรี และจะต่อขึ้นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งการแยกกันให้บริการลูกค้า ทำให้ประเทศไทยสูญเสียโอกาสในการเชื่อมโครงข่ายระบบท่อส่งน้ำมันไปในภูมิภาค และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้เป็นระบบโครงข่ายเดียวกัน ดังนั้น กระทรวงพลังงานจึงต้องเป็นตัวกลางในการเจรจาให้เกิดการควบรวมกิจการเป็นบริษัทเดียวกัน โดยอาจจะมีรัฐเข้ามาร่วมถือหุ้น หรือเป็นการลงทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund)