พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่าความคืบหน้าการตรวจสอบรถโบราณที่อยู่ในการครอบครองของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ได้เข้าพบเพื่อขออนุญาตออกหมายเรียก แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ เช่นเดียวกับที่ก่อนหน้านี้ มีหนังสือเพื่อเชิญมาสอบปากคำแต่ก็ไม่มีการตอบรับ ทั้งนี้ยืนยันว่า ในการออกหมายเรียกนั้น ต้องให้เกียรติฐานะทางสังคม จะมีการออกหนังสือขออนุญาตในการออกหมายเรียก ไม่ใช่การออกคำสั่งทันทีเหมือนบุคคลทั่วไป ซึ่งทางดีเอสไอมีการดำเนินการถูกต้องตามระเบียบ แต่ทีมทนายความกลับให้ดีเอสไอวางกรอบคำถาม การสอบปากคำมาใหม่ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเห็นว่า ทีมทนายความไม่ต้องการให้มีการสอบปากคำสมเด็จช่วง อย่างไรก็ตามการออกหมายเรียก หรือ หมายจับนั้น เป็นหน้าที่ของอธิบดีดีเอสไอใกนารพิจารณาว่าจะออกหมายเรียกในฐานะพยาน หรือออกหมายจับในฐานะผู้ต้องหา แต่ได้กำชับให้ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมาย โดยในวันนี้ดีเอสไอจะเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาเพื่อยื่นเรื่องต่อศาลต่อไป
ส่วนกรณีที่กรมคุมประพฤติชี้แจงว่าไม่ได้รับเรื่องการติดต่อขอบำเพ็ญประโยชน์ของนาวสาวอรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา จากคดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ต่อมาที่ศาลอาญาตัดสินให้บำเพ็ญประโยชน์ปีละ 48 ชั่วโมง ระหว่างรอลงอาญาเป็นเวลา 4 ปี แต่นางสาวแพรวาไม่มีการติดต่อมาเพื่อขอบำเพ็ญประโยชน์ แม้จะมีการอ้างว่าไปบำเพ็ญประโยชน์ที่โรงพยาบาลแล้ว 90 ชั่วโมง แต่ตามหลักจะต้องมีการแจ้งให้กรมคุมประพฤติรับทราบ ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมระบุว่าเป็นหน้าที่ของกรมคุมประพฤติว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ส่วนกรณีที่กรมคุมประพฤติชี้แจงว่าไม่ได้รับเรื่องการติดต่อขอบำเพ็ญประโยชน์ของนาวสาวอรชร หรือแพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา จากคดีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2555 ต่อมาที่ศาลอาญาตัดสินให้บำเพ็ญประโยชน์ปีละ 48 ชั่วโมง ระหว่างรอลงอาญาเป็นเวลา 4 ปี แต่นางสาวแพรวาไม่มีการติดต่อมาเพื่อขอบำเพ็ญประโยชน์ แม้จะมีการอ้างว่าไปบำเพ็ญประโยชน์ที่โรงพยาบาลแล้ว 90 ชั่วโมง แต่ตามหลักจะต้องมีการแจ้งให้กรมคุมประพฤติรับทราบ ซึ่งทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมระบุว่าเป็นหน้าที่ของกรมคุมประพฤติว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป