นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ กรมฯ และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา ได้รับการประสานเพื่อลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 5 พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร เจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการตรวจสอบ 5 บริษัท ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา ซึ่งทั้ง 5 บริษัทมีผู้ถือครองรายเดียวกันหมด และประกอบธุรกิจด้านพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โรงแรมรีสอร์ต อพาร์ตเมนต์ และธุรกิจบริการอื่น ซึ่งถือเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีการถือครองที่ดิน และมีมูลค่าการลงทุนสูง ที่สำคัญมีชาวต่างชาติถือหุ้นร่วมกับคนไทย ทำให้ต้องสงสัยว่าอาจจะมีคนไทยแอบแฝงถือหุ้นแทน (นอมินี) คนต่างชาติ
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พฤติกรรมของผู้ถือหุ้นคนไทย มีมูลเหตุให้เชื่อว่าน่าจะเป็นการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ถือเป็นความผิดตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 กรมฯ จึงมอบหมายให้ผู้อำนวยการกลุ่มบริการทะเบียนธุรกิจและอำนวยความสะดวกทางการค้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน สภ.สะเดา ดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้ตรวจสอบการจัดทำบัญชีของบริษัททั้ง 5 ราย พบว่ามีข้อบกพร่องในการจัดทำบัญชี ขณะนี้อยู่ระหว่างให้บริษัทชี้แจง หากพบว่ามีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543 จริง จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับแผนการตรวจสอบธุรกิจ ที่มีนอมินีของกรมฯ นั้น นอกจากจะเข้าตรวจสอบธุรกิจเสี่ยงในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยแล้ว จะขยายการตรวจสอบครอบคลุมจังหวัดที่เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มากขึ้น เพราะการลงพื้นที่ตรวจสอบที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอสะเดา ทำให้ทราบข้อมูลสำคัญของช่องทางการกระทำผิดในธุรกิจ ที่มีนอมินี โดยปัจจุบัน ธุรกิจของชาวต่างชาติที่ต้องการจะใช้คนไทยเป็นนอมินีได้ขยายการลงทุนไปสู่จังหวัดที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือชายแดนไทยที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน จากเดิมจะเน้นที่การประกอบธุรกิจในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
"อยากเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยง หรือฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องได้รับโทษหนักคือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน" น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า พฤติกรรมของผู้ถือหุ้นคนไทย มีมูลเหตุให้เชื่อว่าน่าจะเป็นการถือหุ้นแทนคนต่างด้าว ถือเป็นความผิดตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 กรมฯ จึงมอบหมายให้ผู้อำนวยการกลุ่มบริการทะเบียนธุรกิจและอำนวยความสะดวกทางการค้า สำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา ส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน สภ.สะเดา ดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อเนื่อง รวมทั้งยังได้ตรวจสอบการจัดทำบัญชีของบริษัททั้ง 5 ราย พบว่ามีข้อบกพร่องในการจัดทำบัญชี ขณะนี้อยู่ระหว่างให้บริษัทชี้แจง หากพบว่ามีการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.การบัญชี พ.ศ. 2543 จริง จะพิจารณาดำเนินการตามกฎหมายต่อไป
สำหรับแผนการตรวจสอบธุรกิจ ที่มีนอมินีของกรมฯ นั้น นอกจากจะเข้าตรวจสอบธุรกิจเสี่ยงในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของไทยแล้ว จะขยายการตรวจสอบครอบคลุมจังหวัดที่เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษให้มากขึ้น เพราะการลงพื้นที่ตรวจสอบที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ อำเภอสะเดา ทำให้ทราบข้อมูลสำคัญของช่องทางการกระทำผิดในธุรกิจ ที่มีนอมินี โดยปัจจุบัน ธุรกิจของชาวต่างชาติที่ต้องการจะใช้คนไทยเป็นนอมินีได้ขยายการลงทุนไปสู่จังหวัดที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือชายแดนไทยที่มีพื้นที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน จากเดิมจะเน้นที่การประกอบธุรกิจในจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
"อยากเตือนคนไทยที่ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน หรือถือหุ้นแทนคนต่างด้าว เพื่อให้คนต่างด้าวประกอบธุรกิจในประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยง หรือฝ่าฝืนกฎหมาย จะต้องได้รับโทษหนักคือ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังมีโทษปรับรายวันอีกวันละ 10,000-50,000 บาท จนกว่าจะเลิกฝ่าฝืน" น.ส.ผ่องพรรณ กล่าว