ศาสตรจารย์คลินิกเกียรติคุณนายแพทย์ ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เรียกประชุมผู้แทนกรมและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมประชาสัมพันธ์ ที่เป็นคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ร่วมประชุมครั้งแรกหลังพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เป็นกฎหมายใหม่ ปรับปรุงมาจากพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2523 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (6 มี.ค.)
โดยวันนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามผล หลัง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ได้บังคับใช้ โดยสาระสำคัญของ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ต่างจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับเก่า คือ การเพิ่มโรคระบาดให้เป็นประเภทที่ 4 ของโรคติดต่อ จากเดิมที่มี 3 ประเภท มีการเพิ่มคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน คณะกรรมการด้านวิชาการ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และคณะทำงานประจำช่องทางเข้า-ออก ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนปฏิบัติงาน หรือแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคให้เกิดประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์โรคในปัจจุบัน จากเดิมไม่เคยมีคณะกรรมการมาก่อน ให้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่ออย่างน้อยอำเภอหรือเขตละ 1 หน่วย จัดให้มีคณะทำงานประจำช่องทางเข้า-ออก ทุกช่องทาง ที่มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เฝ้าระวังโรคติดต่อตามแนวชายแดน โดยทำงานสอดคล้องกับกฎอนามัยระหว่างประเทศ มีการเพิ่มบทลงโทษ จากโทษต่ำสุดคือปรับไม่เกิน 2,000 บาท เพิ่มเป็นปรับขั้นต่ำไม่เกิน 10,000 บาท เพิ่มโทษสูงสุดจากจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคตามความจำเป็นจากที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย โดยหลังประชุมเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ประชุมเห็นชอบออกอนุบัญญัติ หรือกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับ ภายใน 3 เดือน พร้อมออกแผนปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 อีก 30 แผนด้วย
โดยวันนี้เป็นการประชุมเพื่อติดตามผล หลัง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ได้บังคับใช้ โดยสาระสำคัญของ พ.ร.บ.โรคติดต่อ 2558 ต่างจาก พ.ร.บ.โรคติดต่อฉบับเก่า คือ การเพิ่มโรคระบาดให้เป็นประเภทที่ 4 ของโรคติดต่อ จากเดิมที่มี 3 ประเภท มีการเพิ่มคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน คณะกรรมการด้านวิชาการ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร และคณะทำงานประจำช่องทางเข้า-ออก ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย แผนปฏิบัติงาน หรือแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมโรคให้เกิดประสิทธิภาพและทันต่อสถานการณ์โรคในปัจจุบัน จากเดิมไม่เคยมีคณะกรรมการมาก่อน ให้มีการตั้งหน่วยปฏิบัติการควบคุมโรคติดต่ออย่างน้อยอำเภอหรือเขตละ 1 หน่วย จัดให้มีคณะทำงานประจำช่องทางเข้า-ออก ทุกช่องทาง ที่มีด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ เฝ้าระวังโรคติดต่อตามแนวชายแดน โดยทำงานสอดคล้องกับกฎอนามัยระหว่างประเทศ มีการเพิ่มบทลงโทษ จากโทษต่ำสุดคือปรับไม่เกิน 2,000 บาท เพิ่มเป็นปรับขั้นต่ำไม่เกิน 10,000 บาท เพิ่มโทษสูงสุดจากจำคุก 1 ปี ปรับไม่เกิน 50,000 บาท เป็นจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท
นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มการชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคตามความจำเป็นจากที่ไม่เคยมีมาก่อนด้วย โดยหลังประชุมเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ประชุมเห็นชอบออกอนุบัญญัติ หรือกฎหมายลูกอีก 3 ฉบับ ภายใน 3 เดือน พร้อมออกแผนปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 อีก 30 แผนด้วย