นายรักษเกชา แฉ่ฉาย เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน แถลงข่าวเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีการร้องเรียนให้ตรวจสอบการเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะที่สมควรได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.)เสนอให้มหาเถรสมาคม(มส.) พิจารณาและเสนอไปยังนายกรัฐมนตรี โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนในมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2535 นั้นว่า นายศรีราชา วงศารยางกูร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ และนายบูรณ์ ฐาปนดุลย์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ร่วมกันพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย ระเบียบราชประเพณี ประกอบเอกสารหลักฐานจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่า การที่ พศ.เสนอรายนามพระราชาคณะให้ มส.พิจารณา และเสนอต่อนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นการกระทำผิดขั้นตอน ไม่เป็นไปตามกฎหมาย เนื่องจากวรรค 2 มาตรา 7 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ที่บัญญัติว่า ในกรณีที่ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชว่างลง ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคมเสนอนามสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งผู้ตรวจการแผ่นดินได้ดูตามพจนานุกรม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญแล้ว ให้ความเห็นว่าจากรูปประโยคของกฎหมายนั้นคำว่า “ให้” นั้น หมายความว่านายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้เสนอรายนามให้ มส.พิจารณา และเมื่อ มส.เห็นชอบ จึงจะส่งชื่อให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ที่กฎหมายระบุอย่างนี้ก็เพราะนายกฯต้องเป็นคนเสนอและเป็นคนรับผิดชอบ ดังนั้นก็จะต้องมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงนายไปรษณีย์ แต่เมื่อพิจารณาขั้นตอนที่ มส.ดำเนินการพบว่าผิดขั้นตอน
นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีแล้วในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอแนะ และสั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ. ให้ดึงเรื่องกลับ และดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตามข้อแนะนำของผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีผลผูกพันเหมือนคำพิพากษาของศาล เป็นเพียงข้อแนะนำซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจนายกรัฐมนตรีว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ อย่างไรก็ตามผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ก้าวล่วงว่าใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระสังฆราช ไม่ได้ก้าวล่วงมติของ มส.ว่าเห็นชอบใคร แต่เราตีความตามข้อกฎหมายว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่
เมื่อถามว่าการตีความกฎหมายครั้งนี้ จะทำให้มองว่าทำให้ฝ่ายอาณาจักรครอบงำฝ่ายศาสนจักรหรือไม่ นายรักษเกชา กล่าวว่า เป็นความเห็นของแต่ละคนจะมองว่าเป็นอย่างไร หากเห็นว่าครอบงำก็ต้องไปแก้กฎหมาย เพราะผู้ตรวจพิจารณาตามกฎหมายเท่านั้น
นายรักษเกชา กล่าวอีกว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้ส่งหนังสือไปยังนายกรัฐมนตรีแล้วในช่วงเช้าวันนี้ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาข้อเสนอแนะ และสั่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแล พศ. ให้ดึงเรื่องกลับ และดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตามข้อแนะนำของผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีผลผูกพันเหมือนคำพิพากษาของศาล เป็นเพียงข้อแนะนำซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจนายกรัฐมนตรีว่า เห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ อย่างไรก็ตามผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้ก้าวล่วงว่าใครเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระสังฆราช ไม่ได้ก้าวล่วงมติของ มส.ว่าเห็นชอบใคร แต่เราตีความตามข้อกฎหมายว่าดำเนินการถูกต้องหรือไม่
เมื่อถามว่าการตีความกฎหมายครั้งนี้ จะทำให้มองว่าทำให้ฝ่ายอาณาจักรครอบงำฝ่ายศาสนจักรหรือไม่ นายรักษเกชา กล่าวว่า เป็นความเห็นของแต่ละคนจะมองว่าเป็นอย่างไร หากเห็นว่าครอบงำก็ต้องไปแก้กฎหมาย เพราะผู้ตรวจพิจารณาตามกฎหมายเท่านั้น