ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 290 จุดเมื่อคืนนี้ (2 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนต่างพากันกระหน่ำขายหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันร่วงลงหลุดจากระดับ 30 ดอลลาร์/บาร์เรล และจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทพลังงานรายใหญ่ รวมถึงเอ็กซอน โมบิล และบีพี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,153.54 จุด ดิ่งลง 295.64 จุด หรือ -1.80% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,516.95 จุด ร่วงลง 103.42 จุด หรือ -2.24% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 1,903.03 จุด ลดลง 36.35 จุด หรือ -1.87%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงอย่างหนัก หลังจากราคาน้ำมัน WTI ตลาดนิวยอร์กร่วงลงไปกว่า 5% สู่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งมีสาเหตุมาจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงขึ้นอีก เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทพลังงานรายใหญ่ โดยเอ็กซอน โมบิล คอร์ป รายงานตัวเลขกำไรรายไตรมาสต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลง
ทั้งนี้ เอ็กซอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 2.78 พันล้านดอลลาร์ หรือ 67 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2002 จากระดับ 6.57 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.56 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ เอ็กซอนยังวางแผนปรับลดการใช้จ่ายทุน สู่ระดับ 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ลดลง 25% จากปีที่แล้ว
ด้านบริษัทบีพี เปิดเผยตัวเลขขาดทุนหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว พร้อมกับประกาศปลดพนักงานหลายพันคน หลังราคาน้ำมันทรุดตัวลง โดยบีพีระบุว่า บริษัทขาดทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังระบุว่าจะปลดพนักงาน 7 พันคนภายในปลายปีหน้า หรือราว 9% ของพนักงานทั้งหมด
สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ลงสู่ระดับ A+ จากระดับ AA- พร้อมกับเตือนว่า อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก
นอกจากนี้ S&P ยังได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของบริษัทพลังงานรายอื่นๆของยุโรป ลงสู่ระดับ เชิงลบ ซึ่งรวมถึงบริษัทบีพี , โททาล เอสเอ, สแตทออยล์ เอเอสเอ, เรพซอล เอสเอ และ Eni SpA
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.23% หุ้นเชฟรอน คอร์ป ดิ่งลงกว่า 2% หุ้นรีฟายเนอร์ เทโซโร ร่วงลง 8.2% หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 7.5% และหุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลงกว่า 7%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ยังเคลื่อนไหวในระดับต่ำจะส่งผลกระทบต่อกำไรในภาคธนาคาร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 5.2% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 4.9% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 5%
หุ้นไฟเซอร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ ปรับตัวลง 0.10% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4 ร่วงลงราวครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้านี้ อันเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และจากการปรับโครงสร้าง
ทั้งนี้ รายได้ของไฟเซอร์เพิ่มขึ้น 7% สู่ระดับ 1.405 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 613 ล้านดอลลาร์ หรือ 10 เซนต์/หุ้น โดยต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ 1.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 19 เซนต์/หุ้น
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ พุ่งขึ้น 1.32% โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง สวนทางกับแอปเปิลที่ยอดขายไอโฟนได้ตกต่ำลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวเมื่อ 8 ปีก่อน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยในวันพุธ ADP จะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนม.ค. ส่วนในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และในวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,153.54 จุด ดิ่งลง 295.64 จุด หรือ -1.80% ดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 4,516.95 จุด ร่วงลง 103.42 จุด หรือ -2.24% ดัชนีเอสแอนด์พี500 ปิดที่ 1,903.03 จุด ลดลง 36.35 จุด หรือ -1.87%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงอย่างหนัก หลังจากราคาน้ำมัน WTI ตลาดนิวยอร์กร่วงลงไปกว่า 5% สู่ระดับต่ำกว่า 30 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งมีสาเหตุมาจากการคาดการณ์ที่ว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะสูงขึ้นอีก เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะตกลงกันได้ในเรื่องการปรับลดกำลังการผลิต
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทพลังงานรายใหญ่ โดยเอ็กซอน โมบิล คอร์ป รายงานตัวเลขกำไรรายไตรมาสต่ำที่สุดในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ทรุดตัวลง
ทั้งนี้ เอ็กซอนเปิดเผยว่า บริษัทมีกำไร 2.78 พันล้านดอลลาร์ หรือ 67 เซนต์/หุ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2002 จากระดับ 6.57 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.56 ดอลลาร์/หุ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ เอ็กซอนยังวางแผนปรับลดการใช้จ่ายทุน สู่ระดับ 2.32 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้ ลดลง 25% จากปีที่แล้ว
ด้านบริษัทบีพี เปิดเผยตัวเลขขาดทุนหนักที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว พร้อมกับประกาศปลดพนักงานหลายพันคน หลังราคาน้ำมันทรุดตัวลง โดยบีพีระบุว่า บริษัทขาดทุน 6.5 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว นอกจากนี้ บริษัทยังระบุว่าจะปลดพนักงาน 7 พันคนภายในปลายปีหน้า หรือราว 9% ของพนักงานทั้งหมด
สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (S&P) ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของบริษัทรอยัล ดัทช์ เชลล์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก ลงสู่ระดับ A+ จากระดับ AA- พร้อมกับเตือนว่า อาจจะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงอีก
นอกจากนี้ S&P ยังได้ปรับลดแนวโน้มความน่าเชื่อถือของบริษัทพลังงานรายอื่นๆของยุโรป ลงสู่ระดับ เชิงลบ ซึ่งรวมถึงบริษัทบีพี , โททาล เอสเอ, สแตทออยล์ เอเอสเอ, เรพซอล เอสเอ และ Eni SpA
ทั้งนี้ หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงอย่างหนัก โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 2.23% หุ้นเชฟรอน คอร์ป ดิ่งลงกว่า 2% หุ้นรีฟายเนอร์ เทโซโร ร่วงลง 8.2% หุ้นทรานส์โอเชียน ดิ่งลง 7.5% และหุ้นมาราธอน ออยล์ ร่วงลงกว่า 7%
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลที่ว่า อัตราดอกเบี้ยที่ยังเคลื่อนไหวในระดับต่ำจะส่งผลกระทบต่อกำไรในภาคธนาคาร โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 5.2% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ดิ่งลง 4.9% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 5%
หุ้นไฟเซอร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ ปรับตัวลง 0.10% หลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 4 ร่วงลงราวครึ่งหนึ่งจากปีก่อนหน้านี้ อันเนื่องจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และจากการปรับโครงสร้าง
ทั้งนี้ รายได้ของไฟเซอร์เพิ่มขึ้น 7% สู่ระดับ 1.405 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4 ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 613 ล้านดอลลาร์ หรือ 10 เซนต์/หุ้น โดยต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้านี้ ซึ่งอยู่ที่ 1.23 พันล้านดอลลาร์ หรือ 19 เซนต์/หุ้น
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล อิงค์ พุ่งขึ้น 1.32% โดยได้แรงหนุนจากผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่แข็งแกร่ง สวนทางกับแอปเปิลที่ยอดขายไอโฟนได้ตกต่ำลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวเมื่อ 8 ปีก่อน
นักลงทุนจับตาดูข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ โดยในวันพุธ ADP จะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐประจำเดือนม.ค. ส่วนในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ และในวันศุกร์ กระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค.