เอเอฟพี - “บีพี” บริษัทพลังงานรายใหญ่สัญชาติอังกฤษเผยในวันอังคาร (12 ม.ค.) เตรียมปรับลดพนักงานมากกว่า 4,000 ตำแหน่งทั่วโลกในช่วง 2 ปีข้างหน้า ความเคลื่อนไหวที่ตอบสนองต่อวิกฤตราคาน้ำมันพังครืน
บริษัทแห่งนี้ระบุในถ้อยแถลงว่าพวกเขาจะปรับลดพนักงานทั่วโลกลงจาก 24,000 ตำแหน่งทั่วโลก ลงไปต่ำกว่า 20,000 ตำแหน่งในช่วงสิ้นปี 2017 ในนั้นจะรวมไปถึง 600 ตำแหน่งในธุรกิจทะเลเหนือของบีพี
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากบีพียักษ์ใหญ่ทางพลังงานที่มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน เคยปรับลดพนักงานไปแล้ว 4,000 ตำแหน่งเมื่อปีก่อนขณะเตรียมการรับมือกับภาวะราคาน้ำมันตกต่ำอันยืดยาว
ราคามันดิบเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน ดิ่งแตะระดับต่ำสุดรอบ 12 ปีเมื่อวันอังคาร (12 ม.ค.) และขยับลงมาแล้วกว่า 15 เปอร์เซ็นต์นับตั้งแต่เข้าสู่ปีนี้ หลังจากในปี 2015 ทรุดลงมาถึง 35 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการขยับลง 3 ปีติดต่อกัน อันมีต้นตอจากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด
มาร์ค โทมัส ประธานประจำภูมิภาคทะเลเหนือของบีพี เปิดเผยว่า “ด้วยความท้าทายต่างๆ นานาในภูมิภาคที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้วและในสภาพตลาดที่กำลังตึงตัว เราจำเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษเพื่อรับประกันว่าธุรกิจของเราจะยังแข็งแกร่งและมีความสามารถในการแข่งขัน"
“ผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือมันจะส่งผลกระทบต่อจำนวนพนักงาน และเราคาดหมายว่าจะมีการลดพนักงานราว 600 ตำแหน่งและบทบาทของเหล่าบริษัทจัดหางานในช่วงสิ้นปี 2017 แต่ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในปีนี้” เขากล่าว
ราคาน้ำมันดำดิ่งลงมาต่ำกว่า 31 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในวันอังคาร (12 ม.ค.) จากความกังวลต่อภาวะอุปทานล้นตลาด กระตุ้นให้รัฐสมาชิกอย่างไนจีเรีย เรียกร้องโอเปกนัดประชุมฉุกเฉินเพื่อจัดการกับราคาที่พังครืน ที่กัดเซาะรายได้และกระทบต่อผลกำไรของเหล่ายักษ์ใหญ่ทางพลังงาน
แม้จะมีแผนปรับลดพนักงาน แต่บีพีย้ำในวันอังคาร (12 ม.ค.) ว่าพวกเขายังมีภารกิจในทะเลเหนือ ด้วยบอกว่าจะลงทุนในโครงการต่างๆในทะเลเหนือในปีนี้ เป็นเงินราว 2,000 ล้านดอลลาร์
กำลังผลิตน้ำมันและก๊าซของบีพีเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีในปี 2015 แต่บางทีอาจประสบปัญหาในการรักษาระดับไว้ท่ามกลางภาวะราคาน้ำมันตกต่ำจากปัญหาอุปทานล้นตลาดที่ฉุดให้ผลกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาส 3 พังครืนลง
จากผลประกอบการอันน่าหดหู่ดังกล่าว ส่งผลให้ยักษ์ใหญ่ทางพลังงานแห่งนี้ต้องลดระดับการลงทุนและขายทรัพย์สินเพิ่มเติม หลังจากก่อนหน้านี้เคยต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจากหายนะน้ำมันรั่วในอ่าวเม็กซิโกในปี 2010 ที่ต้องจ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาล