จากกรณีโลกโซเชียลแชร์เรื่องราวของทันตแพทย์สาว รายหนึ่งที่ยังไม่ยอมชดใช้หนี้สินจากการได้ทุนไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำในประเทศสหรัฐฯ จนทำให้เพื่อนรุ่นพี่ และอาจารย์ทันตแพทย์รวม 4 ราย ที่เซ็นคำประกัน ต้องจ่ายเงินชดใช้แทน และถูกฟ้องเรียกเงินค่าปรับ 3 เท่า เป็นเงินกว่า 30 ล้านบาท ภายหลังไกล่เกลี่ยจนต้องจริงเกือบ 10 ล้านบาท มิเช่นนั้นจะต้องถูกยึดทรัพย์ จนเหล่าผู้คำประกันต้องเดือนร้อนเอาบ้านไปจำนองหาเงินมาใช้หนี้แทน โดยเรื่องราวดังกล่าวปรากฏตามเพจเฟซบุ๊กส่วนตัวของ "ทันตแพทย์เผด็จ พูลวิทยกิจ" ซึ่งล่าสุดฝ่าย ทันตแพทย์สาว ได้อีเมล์มาชี้แจงทำนองว่า กำลังเร่งหาเงินมาใช้หนี้อยู่ในขณะนี้ ขอเวลาในการหาเงิน และขอให้ทางฝ่ายผู้ค้ำประกันทั้ง 4 จ่ายเงินแทนไปก่อน เนื่องจากไม่สามารถหาเงินจำนวนมากมาจ่ายหนี้ดังกล่าวได้ ดังที่ปรากฏตามลำดับเหตุการณ์มาแล้วนั้น
ด้าน รศ.ดร.วีระชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา หรือ CHES ที่ดูแลเรื่องข้อมูลจากเครือข่ายอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์สาวในโซเชียลมีเดีย โดยได้ข้อมูลต่างๆ จากเพื่อนอาจารย์ที่ทำงานในประเทศสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การเบี้ยวไม่จ่ายเงินทุนของนักเรียนไทยในต่างแดนนั้น เกิดขึ้นหลายเคสต์ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่กลับมาทำงานตามกำหนด ก็ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งมีอาจารย์ที่ตนรู้จักบางรายยอมที่จะขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อชดใช้หนี้ให้กับรัฐ ก่อนจะเดินทางไปทำงานในต่างแดน เพราะต้องการโอกาสที่ดีกว่า
ส่วนกรณีทันตแพทย์สาวที่เบี้ยวหนี้รายนี้เป็นเคสต์ที่น่าสนใจมาก ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยใหญ่และต้องมีจริยธรรมสูง ซ้ำยังไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกแต่กลับต้องให้เพื่อนรุ่นพี่ และอาจารย์แพทย์ต้องมาลำบากใช้หนี้แทน โดยเริ่มต้นในช่วงที่การค้ำประกันด้วยเงินเดือนไม่มาก แต่พอขยายเวลาเรียนจากโทไปเอก นานนับ 10 ปี จำนวนเงินก็มากขึ้น ค่าเงินผันผวน ทำให้ต้องจ่ายหนี้เป็นเงินจำนวนมากนั้นเอง
รศ.ดร.วีระชัย เปิดเผยด้วยว่า ข้อมูลที่ตนนำมาเปิดเผยมาจากเว็บไซต์อ้างอิงได้ และจากการสืบค้นของเพื่อนอาจารย์ด้วยกันที่อยู่ในสหรัฐฯ สามารถนำเอาไปเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ได้ อย่างเช่น ที่อยู่อาศัยของทันตแพทย์สาว ยืนยันว่าอยู่ในพื้นที่ของคนมีฐานะทางการเงินที่ชื่อว่า ซิตี้ออฟนิวตัน เป็นชุมชนที่มีการศึกษาดี
นอกจากนี้ ยังมีการเผยถึงเว็บไซต์ที่ทันตแพทย์สาวรายนี้ เคยติดต่อดูบ้านพักหรูหรา ตามพิกัดของเว็บไซต์กูเกิ้ล และยังมีการเปิดเผยรถยนต์หรูที่จอดในบริเวณบ้านอีกด้วย ในส่วนของรายได้นั้น เพื่อนอาจารย์ของตนที่ไปทำงานที่สหรัฐฯ ได้ให้ข้อมูลว่า มีเว็บไซต์ที่บันทึกสถิติ นักวิชาการ หรือ อาจารย์ของมหาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ นั้น มีรายได้มากกว่า 80,000 เหรียญต่อปี ในระยะการทำงานปีแรก จากนั้นก็จะได้ประมาณปีละ 2 แสนเหรียญ ยิ่งถ้ามีคลีนิกทันตแพทย์ ธุรกิจทำฟันจะได้อีกปีละ 1 ล้านเหรียญ หรือรวมกันตกประมาณ 40 ล้านบาท เมื่อหักภาษีไปครึ่งหนึ่ง จะมีรายได้ประมาณปีละ 20 ล้านบาท เพียงพอที่จะจ่ายเงินกลับคืนนั่นเอง แต่ยังน่าแปลกใจที่ ทันตแพทย์สาวกลับแจ้งว่า ไม่มีเงินจ่ายใช้ทุนดังกล่าว
ด้าน รศ.ดร.วีระชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษา หรือ CHES ที่ดูแลเรื่องข้อมูลจากเครือข่ายอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายแห่ง เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับทันตแพทย์สาวในโซเชียลมีเดีย โดยได้ข้อมูลต่างๆ จากเพื่อนอาจารย์ที่ทำงานในประเทศสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม การเบี้ยวไม่จ่ายเงินทุนของนักเรียนไทยในต่างแดนนั้น เกิดขึ้นหลายเคสต์ โดยเฉพาะเรื่องที่ไม่กลับมาทำงานตามกำหนด ก็ต้องชดใช้เป็นเงินจำนวนมาก ซึ่งมีอาจารย์ที่ตนรู้จักบางรายยอมที่จะขายทรัพย์สินทั้งหมดเพื่อชดใช้หนี้ให้กับรัฐ ก่อนจะเดินทางไปทำงานในต่างแดน เพราะต้องการโอกาสที่ดีกว่า
ส่วนกรณีทันตแพทย์สาวที่เบี้ยวหนี้รายนี้เป็นเคสต์ที่น่าสนใจมาก ถือเป็นกลุ่มตัวอย่างที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยใหญ่และต้องมีจริยธรรมสูง ซ้ำยังไปเรียนมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกแต่กลับต้องให้เพื่อนรุ่นพี่ และอาจารย์แพทย์ต้องมาลำบากใช้หนี้แทน โดยเริ่มต้นในช่วงที่การค้ำประกันด้วยเงินเดือนไม่มาก แต่พอขยายเวลาเรียนจากโทไปเอก นานนับ 10 ปี จำนวนเงินก็มากขึ้น ค่าเงินผันผวน ทำให้ต้องจ่ายหนี้เป็นเงินจำนวนมากนั้นเอง
รศ.ดร.วีระชัย เปิดเผยด้วยว่า ข้อมูลที่ตนนำมาเปิดเผยมาจากเว็บไซต์อ้างอิงได้ และจากการสืบค้นของเพื่อนอาจารย์ด้วยกันที่อยู่ในสหรัฐฯ สามารถนำเอาไปเผยแพร่ให้สังคมได้รับรู้ได้ อย่างเช่น ที่อยู่อาศัยของทันตแพทย์สาว ยืนยันว่าอยู่ในพื้นที่ของคนมีฐานะทางการเงินที่ชื่อว่า ซิตี้ออฟนิวตัน เป็นชุมชนที่มีการศึกษาดี
นอกจากนี้ ยังมีการเผยถึงเว็บไซต์ที่ทันตแพทย์สาวรายนี้ เคยติดต่อดูบ้านพักหรูหรา ตามพิกัดของเว็บไซต์กูเกิ้ล และยังมีการเปิดเผยรถยนต์หรูที่จอดในบริเวณบ้านอีกด้วย ในส่วนของรายได้นั้น เพื่อนอาจารย์ของตนที่ไปทำงานที่สหรัฐฯ ได้ให้ข้อมูลว่า มีเว็บไซต์ที่บันทึกสถิติ นักวิชาการ หรือ อาจารย์ของมหาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ นั้น มีรายได้มากกว่า 80,000 เหรียญต่อปี ในระยะการทำงานปีแรก จากนั้นก็จะได้ประมาณปีละ 2 แสนเหรียญ ยิ่งถ้ามีคลีนิกทันตแพทย์ ธุรกิจทำฟันจะได้อีกปีละ 1 ล้านเหรียญ หรือรวมกันตกประมาณ 40 ล้านบาท เมื่อหักภาษีไปครึ่งหนึ่ง จะมีรายได้ประมาณปีละ 20 ล้านบาท เพียงพอที่จะจ่ายเงินกลับคืนนั่นเอง แต่ยังน่าแปลกใจที่ ทันตแพทย์สาวกลับแจ้งว่า ไม่มีเงินจ่ายใช้ทุนดังกล่าว
