ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงเช้าวันนี้ที่ระดับ 1,360.50 จุด เพิ่มขึ้น 3.49 จุด(+0.26%) มูลค่าการซื้อขาย 12,565.58 ล้านบาท
การซื้อขายหุ้นในช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,364.96 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,356.88 จุด
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพใหญ่ของตลาดฯยังติดเรื่องที่จะต้องจับตาดูคือ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่คาดว่าจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย, การประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในยุโรปเองมากกว่า และการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก อีกทั้งไทยก็มารับผลทางจิตวิทยาจากสำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา(FAA)ลดระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจาก CAT1 เป็น CAT 2
ดังนั้นเวลานี้ตลาดฯจึงมีเพียงการลงทุนของภาครัฐฯเท่านั้นที่จะช่วยหนุนได้ แต่ก็เห็นผลในระยะยาว ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนหุ้นรายตัว สำหรับความหวังเม็ดเงินจากองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ก็มีแรงซื้อน้อย ดังนั้นตลาดฯจึงเป็นลักษณะ Wait & See
"จะเห็นได้ว่าดัชนีฯปรับตัวลงมากและมีการรีบาวน์ขึ้นมาได้แค่นี้ แสดงให้เห็นว่าคนยังไม่มั่นใจตลาดฯ...Local Fund ก็คงจะเลือกลงทุน และอีกไม่กี่วันนักลงทุนต่างชาติก็จะหยุดเทรด ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นอะไรที่จะทำให้มองเห็นการเติบโตในปีหน้า เพราะแม้แต่ราคาน้ำมันก็แย่ กลุ่มแบงก์ก็โตช้า"นายธนเดช กล่าว
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายธนเดช กล่าวว่า ดัชนีฯคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบ พร้อมให้แนวรับ 1,350 จุด ส่วนแนวต้าน 1,370 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
JAS มูลค่าการซื้อขาย 798.73 ล้านบาท ปิดที่ 4.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 589.86 ล้านบาท ปิดที่ 322.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 570.93 ล้านบาท ปิดที่ 46.75 บาท ลดลง 0.25 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 448.52 ล้านบาท ปิดที่ 257.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
MTLS มูลค่าการซื้อขาย 398.13 ล้านบาท ปิดที่ 21.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท
การซื้อขายหุ้นในช่วงเช้าวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,364.96 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,356.88 จุด
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพใหญ่ของตลาดฯยังติดเรื่องที่จะต้องจับตาดูคือ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ที่คาดว่าจะพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย, การประชุมธนาคารกลางยุโรป(ECB) ในวันที่ 3 ธ.ค.นี้ ซึ่งตรงนี้มองว่าเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในยุโรปเองมากกว่า และการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ทำให้นักลงทุนยังไม่กล้าที่จะเข้ามาลงทุนมากนัก อีกทั้งไทยก็มารับผลทางจิตวิทยาจากสำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา(FAA)ลดระดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินของไทยจาก CAT1 เป็น CAT 2
ดังนั้นเวลานี้ตลาดฯจึงมีเพียงการลงทุนของภาครัฐฯเท่านั้นที่จะช่วยหนุนได้ แต่ก็เห็นผลในระยะยาว ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะลงทุนหุ้นรายตัว สำหรับความหวังเม็ดเงินจากองทุนรวมหุ้นระยะยาว(LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ(RMF) ก็มีแรงซื้อน้อย ดังนั้นตลาดฯจึงเป็นลักษณะ Wait & See
"จะเห็นได้ว่าดัชนีฯปรับตัวลงมากและมีการรีบาวน์ขึ้นมาได้แค่นี้ แสดงให้เห็นว่าคนยังไม่มั่นใจตลาดฯ...Local Fund ก็คงจะเลือกลงทุน และอีกไม่กี่วันนักลงทุนต่างชาติก็จะหยุดเทรด ตอนนี้ยังไม่มีประเด็นอะไรที่จะทำให้มองเห็นการเติบโตในปีหน้า เพราะแม้แต่ราคาน้ำมันก็แย่ กลุ่มแบงก์ก็โตช้า"นายธนเดช กล่าว
ด้านตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ
แนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ นายธนเดช กล่าวว่า ดัชนีฯคงจะแกว่งตัวในกรอบแคบ พร้อมให้แนวรับ 1,350 จุด ส่วนแนวต้าน 1,370 จุด
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่
JAS มูลค่าการซื้อขาย 798.73 ล้านบาท ปิดที่ 4.56 บาท เพิ่มขึ้น 0.04 บาท
AOT มูลค่าการซื้อขาย 589.86 ล้านบาท ปิดที่ 322.00 บาท ลดลง 2.00 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 570.93 ล้านบาท ปิดที่ 46.75 บาท ลดลง 0.25 บาท
PTT มูลค่าการซื้อขาย 448.52 ล้านบาท ปิดที่ 257.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท
MTLS มูลค่าการซื้อขาย 398.13 ล้านบาท ปิดที่ 21.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท