เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อมด้วยประชาชนอีกจำนวน 30 คน เข้ายื่นหนังสือที่สำนักงานผู้ตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เพื่อให้ตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินค่าปรับใบสั่งที่ประชาชนได้กระทำผิดเกี่ยวกับกฎจราจรบนท้องถนนซึ่งมีประชาชนส่วนใหญ่เกิดความสงสัยในการนำเงินจากประชาชนไปใช้ในทางที่ผิดส่อแววทุจริต
นายอัจฉริยะกล่าวภายหลังการยื่นหนังสือต่อสตง.ว่า วันนี้ตนได้เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อดำเนินการขอให้สตง.ตรวจสอบขบวนการนำเงินที่มาจากการเก็บค่าใบสั่งจราจรทั้งในส่วนของกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.) และในสถานีตำรวจ (สน.) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้ง 88 สน.ว่า มีการทุจริตในขั้นตอนไหนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง และเห็นว่าเงินที่ตำรวจจราจรสั่งปรับไปนั้นเป็นเงินที่มาจากประชาชน เพราะฉะนั้นประชาชนก็ควรมีสิทธิที่จะตรวจสอบ เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม
นอกจากนี้จะเดินไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อไปเรียกร้องให้ทางสนช.มีการพิจารณาการร่างกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานไม่พกใบขับขี่ปรับ 10,000 บาท ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการพิจารณาขอแก้ไขในส่วนนี้ เพราะประชาชนเห็นว่าการปรับแก้กฎหมายดังกล่าวเป็นช่องทางในการทุจริตได้อีกช่องทางหนึ่ง และเป็นช่องทางในการหารายได้ของตำรวจ ที่ตามหลักแล้วตำรวจจะได้เปอร์เซ็นต์จากค่าปรับของประชาชน
อย่างไรก็ตามตนจะขอพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เพื่อหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการแบ่งจ่ายค่าปรับในแต่ละเดือนว่า มีกระบวนการอย่างไรเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นส่วนการแก้กฎหมายนั้นตน และกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้จะเดินหน้าเรียกร้องให้ถึงที่สุดจนกว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกล้มเลิกไป เพราะการแก้กฎหมายฉบับนี้ส่อให้เห็นว่า ประชาชนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ควรไปพัฒนาการแก้ไขปัญหาจราจรในด้านอื่นและรณรงค์กฎจราจรรูปแบบอื่นเสียจะดีกว่าการให้ประชาชนมาเสียเงินค่าปรับที่สูงลิบ
ทั้งนี้ประชาชนที่เดินทางเข้าร่วมการเรียกร้องในครั้งนี้ต่างพากันผูกริ้บบิ้นสีดำไว้ที่หูกระจกรถเพื่อเป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ว่าไม่เอากฎหมายดังกล่าวอีกด้วย
รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งว่า การแบ่งส่วนเงินค่าปรับตามข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินรางวัลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร ในการจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตกทม.จะแบ่งเงินค่าปรับออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 50% ของเงินค่าปรับจะนำส่งกรุงเทพมหานคร(กทม.) ส่วน 50% ที่เหลือจะเป็นส่วนที่ตำรวจจราจรจะต้องนำมาคิดเป็น 100% และหักให้รายได้แผ่นดินอีก 5%เพราะฉะนั้นตำรวจจราจรจะเหลืออยู่ 95% ที่เป็นเงินรางวัลค่าปรับ โดยจะนำมาคิดเป็น 100% แล้วนำมาจัดสรรสำหรับเป็นรางวัลผู้จับกุมและผู้สนับสนุนงานจราจรโดยเป็นรางวัลผู้จับกุม 60% และผู้สนับสนุน 40% ทั้งนี้การได้รางวัลจับกุมนั้นตามกฎกระทรวงได้มีระบุไว้ว่า ตำรวจแต่ละนายจะได้รับไม่เกินคนละ 10,000 บาท
นายอัจฉริยะกล่าวภายหลังการยื่นหนังสือต่อสตง.ว่า วันนี้ตนได้เดินทางมายื่นหนังสือเพื่อดำเนินการขอให้สตง.ตรวจสอบขบวนการนำเงินที่มาจากการเก็บค่าใบสั่งจราจรทั้งในส่วนของกองบังคับการตำรวจจราจร(บก.จร.) และในสถานีตำรวจ (สน.) ในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้ง 88 สน.ว่า มีการทุจริตในขั้นตอนไหนหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า ยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาตรวจสอบอย่างจริงจัง และเห็นว่าเงินที่ตำรวจจราจรสั่งปรับไปนั้นเป็นเงินที่มาจากประชาชน เพราะฉะนั้นประชาชนก็ควรมีสิทธิที่จะตรวจสอบ เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม
นอกจากนี้จะเดินไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อไปเรียกร้องให้ทางสนช.มีการพิจารณาการร่างกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานไม่พกใบขับขี่ปรับ 10,000 บาท ที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการพิจารณาขอแก้ไขในส่วนนี้ เพราะประชาชนเห็นว่าการปรับแก้กฎหมายดังกล่าวเป็นช่องทางในการทุจริตได้อีกช่องทางหนึ่ง และเป็นช่องทางในการหารายได้ของตำรวจ ที่ตามหลักแล้วตำรวจจะได้เปอร์เซ็นต์จากค่าปรับของประชาชน
อย่างไรก็ตามตนจะขอพบผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) เพื่อหารือเกี่ยวกับขั้นตอนการแบ่งจ่ายค่าปรับในแต่ละเดือนว่า มีกระบวนการอย่างไรเพื่อให้เกิดความโปร่งใสมากขึ้นส่วนการแก้กฎหมายนั้นตน และกลุ่มประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้จะเดินหน้าเรียกร้องให้ถึงที่สุดจนกว่ากฎหมายฉบับนี้จะถูกล้มเลิกไป เพราะการแก้กฎหมายฉบับนี้ส่อให้เห็นว่า ประชาชนจะไม่ได้รับความเป็นธรรม ควรไปพัฒนาการแก้ไขปัญหาจราจรในด้านอื่นและรณรงค์กฎจราจรรูปแบบอื่นเสียจะดีกว่าการให้ประชาชนมาเสียเงินค่าปรับที่สูงลิบ
ทั้งนี้ประชาชนที่เดินทางเข้าร่วมการเรียกร้องในครั้งนี้ต่างพากันผูกริ้บบิ้นสีดำไว้ที่หูกระจกรถเพื่อเป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ว่าไม่เอากฎหมายดังกล่าวอีกด้วย
รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลแจ้งว่า การแบ่งส่วนเงินค่าปรับตามข้อบังคับกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินรางวัลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการจราจร ในการจับกุมผู้กระทำความผิดในเขตกทม.จะแบ่งเงินค่าปรับออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก 50% ของเงินค่าปรับจะนำส่งกรุงเทพมหานคร(กทม.) ส่วน 50% ที่เหลือจะเป็นส่วนที่ตำรวจจราจรจะต้องนำมาคิดเป็น 100% และหักให้รายได้แผ่นดินอีก 5%เพราะฉะนั้นตำรวจจราจรจะเหลืออยู่ 95% ที่เป็นเงินรางวัลค่าปรับ โดยจะนำมาคิดเป็น 100% แล้วนำมาจัดสรรสำหรับเป็นรางวัลผู้จับกุมและผู้สนับสนุนงานจราจรโดยเป็นรางวัลผู้จับกุม 60% และผู้สนับสนุน 40% ทั้งนี้การได้รางวัลจับกุมนั้นตามกฎกระทรวงได้มีระบุไว้ว่า ตำรวจแต่ละนายจะได้รับไม่เกินคนละ 10,000 บาท
