สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (27 พ.ย.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากข่าวที่ว่าจีนนำเข้าทองคำลดลงในเดือนต.ค. ขณะที่วอลุ่มการซื้อขายมีอยู่เพียงบางเบา เนื่องจากตลาดทำการซื้อขายเพียงครึ่งวันในช่วงเทศกาลวันหยุดเนื่องในวันของคุณพระเจ้า
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์- COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 13.5 ดอลลาร์ หรือ 1.26% ปิดที่ 1,056.2 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าเงินนั้น ปรับตัวขึ้น 0.20 สู่ระดับ 100.07 ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยลบจากรายรายงานของสำนักงานสถิติฮ่องกงว่า จีนนำเข้าทองคำจากฮ่องกงลดลงสู่ระดับ 71.581 ตันในเดือนต.ค. จากระดับของเดือนก.ย.ที่ 97.242 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ต.ค.ของเฟดระบุว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันศุกร์ (27 พ.ย.) หลังจากมีรายงานว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนร่วงลงอย่างหนักในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะทำให้อุปสงค์พลังงานซบเซาลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 1.33 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 41.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 44.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนในเดือนต.ค. ดิ่งลง 4.6% เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่ลดลงเพียง 0.1% ในเดือนก.ย. ส่วนในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทอุตสาหกรรมของจีนมีผลกำไรร่วงลง 2% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 4.87 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ปรับตัวลง 1.7% ในช่วง 9 เดือนแรก
เจ้าหน้าที่ NBS กล่าวว่า ยอดขายที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมทั้งผลกำไรที่ตกต่ำลงในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่และวัตถุดิบ เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่หดตัวลงในเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 พ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 961,000 บาร์เรล สู่ระดับ 488.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 58.6 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปกจะคงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมครั้งนี้
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์- COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ร่วงลง 13.5 ดอลลาร์ หรือ 1.26% ปิดที่ 1,056.2 ดอลลาร์/ออนซ์
สัญญาทองคำได้รับแรงกดดันจากสกุลเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า โดยดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆในตะกร้าเงินนั้น ปรับตัวขึ้น 0.20 สู่ระดับ 100.07 ทั้งนี้ การแข็งค่าของดอลลาร์จะส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งซื้อขายในรูปสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและไม่น่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือสกุลเงินอื่น
นอกจากนี้ สัญญาทองคำยังได้รับปัจจัยลบจากรายรายงานของสำนักงานสถิติฮ่องกงว่า จีนนำเข้าทองคำจากฮ่องกงลดลงสู่ระดับ 71.581 ตันในเดือนต.ค. จากระดับของเดือนก.ย.ที่ 97.242 ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำยังคงได้รับแรงกดดันจากกระแสคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยรายงานการประชุมประจำวันที่ 27-28 ต.ค.ของเฟดระบุว่า เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของเฟดมีความเห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งเพียงพอที่จะรับมือกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในการประชุมเดือนหน้า
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนวันศุกร์ (27 พ.ย.) หลังจากมีรายงานว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนร่วงลงอย่างหนักในเดือนต.ค. ซึ่งข้อมูลดังกล่าวส่งผลให้เกิดความกังวลว่าการชะลอตัวของเศรษฐกิจจะทำให้อุปสงค์พลังงานซบเซาลงด้วย นอกจากนี้ ตลาดยังคงได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนม.ค. ร่วงลง 1.33 ดอลลาร์ หรือ 3.1% ปิดที่ 41.71 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 60 เซนต์ หรือ 1.3% ปิดที่ 44.86 ดอลลาร์/บาร์เรล
สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติของจีน (NBS) เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ผลกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่ของจีนในเดือนต.ค. ดิ่งลง 4.6% เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่ลดลงเพียง 0.1% ในเดือนก.ย. ส่วนในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทอุตสาหกรรมของจีนมีผลกำไรร่วงลง 2% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 4.87 ล้านล้านหยวน หลังจากที่ปรับตัวลง 1.7% ในช่วง 9 เดือนแรก
เจ้าหน้าที่ NBS กล่าวว่า ยอดขายที่ลดลงและต้นทุนที่สูงขึ้น รวมทั้งผลกำไรที่ตกต่ำลงในภาคอุตสาหกรรมเหมืองแร่และวัตถุดิบ เป็นปัจจัยที่ทำให้ตัวเลขกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมรายใหญ่หดตัวลงในเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานพลังงานที่สูงเกินไป หลังจากสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 20 พ.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 961,000 บาร์เรล สู่ระดับ 488.2 ล้านบาร์เรล และสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน เพิ่มขึ้น 1.7 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 58.6 ล้านบาร์เรล
นักลงทุนจับตาดูการประชุมกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ในวันที่ 4 ธ.ค.นี้ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า กลุ่มโอเปกจะคงโควต้าการผลิตน้ำมันไว้เท่าเดิมที่ 30 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมครั้งนี้