นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 พฤศจิกายนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเรียกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทั้งหมดเข้าพบ เพื่อหารือกันในเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน หลังธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป ร้อยละ 0-0.25 ยืนยันว่า การปรับลดอันดับในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ เป็นสัญญาณที่ดีกับเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ในภาวะที่สถานการณ์ของสหรัฐฯ ยังไม่ฟื้นตัวอย่างเต็มที่ ดังนั้นการคงอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นแนวทางที่ถูกต้อง
ขณะที่ประเทศไทยได้มีการคาดการณ์ว่า เฟดจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไว้อยู่แล้ว จึงเชื่อว่า จะสามารถรองรับกับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า-ออกได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังมีเครื่องมือในดูแลเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกรณีที่ไทยมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า จากปัจจุบันที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี นั้นมองว่า หากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นเรื่องปกติ
สำหรับ เศรษฐกิจไทยคาดจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และเห็นผลชัดเจนในไตรมาสแรกของปี 2559 โดยมีสนับสนุนจากการที่เศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเห็นผลดีต่อการบริโภคในประเทศ และทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น
ส่วนการจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ หรือ Doing Business ของธนาคารโลกที่ไทยถูกปรับลดอันดับมาอยู่ที่อันดับที่ 49 เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบในการคำนวน และหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำงานนั้น ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรค เช่น การเสียภาษีที่มีความซ้ำซ้อน การขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน เป็นต้น โดยมั่นใจว่าในการประเมินรอบหน้าอันดับของไทยจะปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่ประเทศไทยได้มีการคาดการณ์ว่า เฟดจะมีการคงอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไว้อยู่แล้ว จึงเชื่อว่า จะสามารถรองรับกับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า-ออกได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังมีเครื่องมือในดูแลเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนกรณีที่ไทยมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า จากปัจจุบันที่ร้อยละ 1.5 ต่อปี นั้นมองว่า หากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยถือเป็นเรื่องปกติ
สำหรับ เศรษฐกิจไทยคาดจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้ และเห็นผลชัดเจนในไตรมาสแรกของปี 2559 โดยมีสนับสนุนจากการที่เศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้น ส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของไทย ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะเห็นผลดีต่อการบริโภคในประเทศ และทำให้สินค้าอุปโภคบริโภคมีราคาสูงขึ้น
ส่วนการจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ หรือ Doing Business ของธนาคารโลกที่ไทยถูกปรับลดอันดับมาอยู่ที่อันดับที่ 49 เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบในการคำนวน และหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำงานนั้น ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ โดยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรค เช่น การเสียภาษีที่มีความซ้ำซ้อน การขอใบอนุญาตจัดตั้งโรงงาน เป็นต้น โดยมั่นใจว่าในการประเมินรอบหน้าอันดับของไทยจะปรับตัวดีขึ้น