ปลัดคลัง ชี้ เฟดคงดอกเบี้ย 0-0.25% ส่งผลดีต่อ ศก.โลก และเป็นสิ่งที่ตลาดได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว โดยในปี 59 มีความเป็นไปได้ที่ ดบ.ของไทยจะเป็นขาขึ้น หากภาวะ ศก. ดีขึ้น คาดการฟื้นตัวจะเด่นชัดใน Q1/59 ส่วนกรณีธนาคารโลก ปรับลดอันดับ Doing Business ของไทยมาอยู่ที่ 49 จากลำดับ 46 ในปีก่อน เกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบในการคำนวณ และหัวหน้าทีม ศก. ได้ตั้งคณะทำงานดูแลไว้แล้ว โดยนายกฯ จะเชิญ รมต.ด้านเศรษฐกิจทั้งหมดเข้าพบ เพื่อหารือกันในเรื่องดังกล่าว และการหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ย้ำชัดการปรับลดอันดับของไทยลงในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ในระดับเดิมที่ 0-0.25% โดยมองว่า เป็นสิ่งที่ดีกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย ซึ่งปัจจุบัน สหรัฐฯ ยังไม่มีความมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้น การคงอัตราดอกเบี้ยไว้จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมทั้งต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง
สำหรับประเทศไทยนั้น หลายฝ่ายต่างคาดการณ์เอาไว้แล้วว่า FED จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ระดับนี้ และเชื่อว่าจะสามารถรองรับกับความผันผวนของเงินทุนไหลเข้า-ออกได้ ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังพร้อมมีเครื่องมือในการดูแลได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน
ปลัดกระทรวงการคลัง ยังกล่าวถึงกรณีที่ ธปท.มีแนวโน้มจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2559 จากระดับปัจจุบันที่ 1.5% โดยเชื่อว่า น่าจะมีความเป็นไปได้ หากภาวะเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวดีขึ้น พร้อมคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวได้ในไตรมาส 4/58 และจะเริ่มขยายตัวได้อย่างชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/59 จากการใช้นโยบายงบประมาณขาดดุล ทั้งนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ที่จะช่วยให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกยังเป็นตัวช่วยให้การส่งออก ปรับตัวดีขึ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ราคามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นด้วย
นายสมชัย กล่าวถึงการจัดอันดับความยากง่ายในการดำเนินธุรกิจ หรือ Doing Business ของธนาคารโลก หรือเวิลด์แบงก์ ที่ไทยถูกปรับลดอันดับมาอยู่ที่ 49 จากปีก่อนที่อยู่ลำดับ 46 โดยระบุว่า การปรับลดดังกล่าวเกิดจากการปรับเปลี่ยนระบบในการคำนวณ และหลังจากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เข้ามาทำงานนั้น ได้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อดูแลเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะความพยายามในการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรค เช่น การขอใบอนุญาตในการจัดตั้งโรงงาน และใบอนุญาตสิ่งแวดล้อมที่มีความยุ่งยาก และการเสียภาษีซ้ำซ้อน ซึ่งหากการแก้ปัญหาดังกล่าวเป็นไปตามแผน ก็เชื่อว่าการประเมินรอบหน้าอันดับของไทยจะปรับตัวดีขึ้น
ทั้งนี้ ในวันที่ 9 พ.ย.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเชิญรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจทั้งหมดเข้าพบ เพื่อหารือกันในเรื่องดังกล่าว และการหาแนวทางแก้ไขร่วมกัน ขณะเดียวกัน ยืนยันว่า การปรับลดอันดับของไทยลงในครั้งนี้ จะไม่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
นายสมชัย กล่าวในงาน 2015 OECD -ASian Roundtable on Corporate Governance ถึงการมีธรรมภิบาลว่า เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับภาครัฐและเอกชน เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่นักลงทุนเชื่อมั่นเข้ามาลงทุน ซึ่งที่ผ่านมา ไทยมีการพัฒนาสิ่งเหล่านี้มาโดยตลอด จึงเน้นใหับริษัทต่างๆ เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะให้เกิดความโปร่งใส เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน พร้อมกันนี้ ที่ผ่านมา ไทยได้ปรับเปลี่ยน แก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย และกฎระเบียบต่างๆ เพื่อสนับสนุนบรรษัทภิบาล ทำให้การบริหารจัดการความไม่โปร่งใสมากขึ้น