สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (23 ต.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น หลังแบงก์ชาติจีนลดดอกเบี้ยและ RRR ประกอบการคาดการณ์จากนักลงทุนส่วนหนึ่งที่เชื่อว่า เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วๆนี้ ภายหลังจากที่มีการเปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่แข็งแกร่งเกินคาด
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ - COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.3 ดอลลาร์ หรือ 0.28% ปิดที่ระดับ 1,162.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาทองร่วงลง 1.7%
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กได้รับปัจจัยถ่วงจากดอลลาร์ที่แข็งค่า หลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 4.35% และ 1.50% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ต.ค.)
ด้านสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ (23 ต.ค.) หลังดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลง 78 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 44.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาน้ำมันร่วงลงไปถึงเกือบ 6%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ขยับลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 47.99 ดอลลาร์/บาร์เรล และลดลงประมาณ 5% ตลอดทั้งสัปดาห์
ดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้น้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นๆ
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับอีกหกสกุลเงินหลัก เพิ่มขึ้น 0.76% ที่ระดับ 97.114 ในช่วงท้ายของการซื้อขายในวันศุกร์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ (23 ต.ค.) หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ 3 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนแนสแด็กกลับมาปิดเกิน 5,000 จุดอีกครั้ง โดยได้แรงหนุนจากข่าวผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ DJIA เพิ่มขึ้น 157.54 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 17,646.70 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 22.64 จุด หรือ 1.10% ปิดที่ 2,075.15 จุด ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 111.81 จุด หรือ 2.27% ปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,031.86 จุด
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้ง 3 ดัชนีหลักในตลาดหุ้นนิวยอร์กต่างปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยดาวโจนส์, เอสแอนด์พี 500 และ แนสแด็ก เพิ่มขึ้น 2.5%, 2.1% และ 3.0% ตามลำดับ
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 4.35% และ 1.50% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ต.ค.)
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้นับเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีนี้ ในความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2552
ธนาคารกลางยังได้ปรับลดสัดส่วนการกันสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% โดยมีผลวันนี้ รวมทั้งปรับลด RRR ของสถาบันการเงินที่สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมทั้งภาคการเกษตรลง 0.5% เช่นกัน
ธนาคารกลางจีนได้ระบุในแถลงการณ์อีกฉบับว่า เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง และตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวน ความเคลื่อนไหวล่าสุดของธนาคารกลางจึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อการปรับโครงสร้างและการขยายตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นอกจากการประกาศลดลดดอกเบี้ยและ RRR โดยแบงก์ชาติจีนแล้ว ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากการการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดจาก 3 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ได้แก่ อัลฟาเบท อเมซอน และไมโครซอฟท์
ขณะเดียวกันวานนี้ มาร์กิต ผู้ให้บริการข้อมูลการเงิน ได้เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นแตะ 54 จากระดับ 53.1 ในเดือนก.ย.
ตัวเลขล่าสุดดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 53 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัวอยู่มากพอควร บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาดดังกล่าวทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งหันกลับมามุ่งความสนใจไปที่ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอีกครั้ง โดยธนาคารกลางสหรัฐมีกำหนดการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้
สัญญาทองคำตลาดโคเม็กซ์ - COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 3.3 ดอลลาร์ หรือ 0.28% ปิดที่ระดับ 1,162.80 ดอลลาร์/ออนซ์ ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาทองร่วงลง 1.7%
ภาวะการซื้อขายในตลาดทองคำนิวยอร์กได้รับปัจจัยถ่วงจากดอลลาร์ที่แข็งค่า หลังจากที่ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 4.35% และ 1.50% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ต.ค.)
ด้านสัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดปรับตัวลดลงเมื่อคืนวันศุกร์ (23 ต.ค.) หลังดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น ภายหลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังชะลอตัว
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ส่งมอบเดือนธ.ค. ปรับตัวลง 78 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 44.6 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่งผลให้ตลอดสัปดาห์ ราคาน้ำมันร่วงลงไปถึงเกือบ 6%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ส่งมอบเดือนธ.ค. ขยับลง 9 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 47.99 ดอลลาร์/บาร์เรล และลดลงประมาณ 5% ตลอดทั้งสัปดาห์
ดอลลาร์ที่แข็งค่าทำให้น้ำมันดิบ ซึ่งกำหนดราคาซื้อขายเป็นสกุลเงินดอลลาร์ มีราคาแพงขึ้นและน่าดึงดูดน้อยลงสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่นๆ
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นมาตรวัดสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐเทียบกับอีกหกสกุลเงินหลัก เพิ่มขึ้น 0.76% ที่ระดับ 97.114 ในช่วงท้ายของการซื้อขายในวันศุกร์
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นเมื่อคืนวันศุกร์ (23 ต.ค.) หลังจากที่ธนาคารกลางจีนประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย ประกอบกับได้รับแรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ 3 บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ซึ่งดันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีให้ปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก ส่วนแนสแด็กกลับมาปิดเกิน 5,000 จุดอีกครั้ง โดยได้แรงหนุนจากข่าวผลประกอบการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ DJIA เพิ่มขึ้น 157.54 จุด หรือ 0.90% ปิดที่ 17,646.70 จุด ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 22.64 จุด หรือ 1.10% ปิดที่ 2,075.15 จุด ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 111.81 จุด หรือ 2.27% ปิดวันทำการล่าสุดที่ 5,031.86 จุด
สำหรับตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้ง 3 ดัชนีหลักในตลาดหุ้นนิวยอร์กต่างปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน โดยดาวโจนส์, เอสแอนด์พี 500 และ แนสแด็ก เพิ่มขึ้น 2.5%, 2.1% และ 3.0% ตามลำดับ
ธนาคารกลางจีน (PBOC) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ระยะเวลา 1 ปี และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะเวลา 1 ปีลง 0.25% สู่ระดับ 4.35% และ 1.50% ตามลำดับ โดยมีผลบังคับใช้ในวันเสาร์ (24 ต.ค.)
การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดนี้นับเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนส.ค.ปีนี้ ในความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดต้นทุนการกู้ยืมของบริษัทต่างๆ โดยเศรษฐกิจจีนขยายตัว 6.9% ในไตรมาส 3 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2552
ธนาคารกลางยังได้ปรับลดสัดส่วนการกันสำรอง (RRR) ของธนาคารพาณิชย์ลง 0.5% โดยมีผลวันนี้ รวมทั้งปรับลด RRR ของสถาบันการเงินที่สนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม รวมทั้งภาคการเกษตรลง 0.5% เช่นกัน
ธนาคารกลางจีนได้ระบุในแถลงการณ์อีกฉบับว่า เนื่องจากเศรษฐกิจยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง และตลาดการเงินทั่วโลกมีความผันผวน ความเคลื่อนไหวล่าสุดของธนาคารกลางจึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่เข้มแข็งเพื่อการปรับโครงสร้างและการขยายตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ นอกจากการประกาศลดลดดอกเบี้ยและ RRR โดยแบงก์ชาติจีนแล้ว ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากการการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดจาก 3 บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ได้แก่ อัลฟาเบท อเมซอน และไมโครซอฟท์
ขณะเดียวกันวานนี้ มาร์กิต ผู้ให้บริการข้อมูลการเงิน ได้เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นแตะ 54 จากระดับ 53.1 ในเดือนก.ย.
ตัวเลขล่าสุดดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 53 และอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งเป็นเส้นแบ่งระหว่างการขยายตัวและหดตัวอยู่มากพอควร บ่งชี้ว่าภาคการผลิตของสหรัฐขยายตัวรวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.
ข้อมูลเศรษฐกิจที่ออกมาดีเกินคาดดังกล่าวทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งหันกลับมามุ่งความสนใจไปที่ประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐอีกครั้ง โดยธนาคารกลางสหรัฐมีกำหนดการประชุมครั้งต่อไปในวันที่ 27-28 ตุลาคมนี้