รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม ที่พระบรมมหาราชวัง นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล อดีตประธานศาลปกครองสูงสุด ได้เดินทางมายื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอความเป็นธรรม กรณีคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง (ก.ศป.) ใช้เสียงข้างมากโดยไม่สุจริต ไม่ชอบธรรม และไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีมติให้ตนออกจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุด ผ่านสำนักราชเลขาธิการ ในพระบรมมหาราชวัง
โดยภายหลังการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกานายหัสวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง ว่าจากการที่ถูกองค์กรบริหารงานบุคคล ก.ศป. กลั่นแกล้งซึ่งข้อเท็จจริงมีทั้งพยานบุคคล ไม่มีใครพาดพิงตนเลย แม้แต่กระบวนการในการสอบสวนนั้นก็ไม่ชอบ เพราะมีการทำผิดขั้นตอนตั้งแต่แต่งตั้งกรรมการสอบสวนพักราชการ
สิ่งสำคัญตนตนคิดว่าการลงมติลงโทษตนนั้นมีองค์ประชุมไม่ครบเพราะเหตุว่า องค์ประกอบของ ก.ศป.นั้นมีทั้งหมด 13 คน ดังนั้น เสียงข้างมากจะต้องมี 7 คน แต่ปรากฏว่าในการลงมติลงโทษตนนั้น มีกรรมการอยู่ในที่ประชุมลงมตินั้นเพียง 6 คน ซึ่งตนคิดว่ามีปัญหาในเรื่ององค์ประชุมของการลงมติ
ส่วนกรณีที่ไม่ยื่นฟ้องศาลปกครอง เนื่องจากตนเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด คนที่พิจารณาเรื่องตนนั้น ส่วนใหญ่เป็นตุลาการเกือบทั้งหมด ซึ่งในระดับองค์กรบริหารงานบุคคล ตนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ถ้าหากตนไปฟ้องคดีแล้วบุคคลเหล่านี้มาเป็นตุลาการตัดสินคดีตน แล้วคิดว่าบุคคลเหล่านั้นจะให้ความยุติธรรมต่อตนหรือไม่ แต่สิ่งที่ตนทำอยู่ตอนนี้คือหนทางต่อสู้ทางกฎหมาย เช่น การไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบการกระทำของ ก.ศป.และองค์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นทางศาลปกครองโดยสำนักงานศาลปกครองก็โต้กลับมาทุกเรื่อง ตนจึงอยากถามกลับว่าให้เอาข้อเท็จจริงและหลักฐานออกมาแสดง
อย่าพูดแบบว่า ก.ศป.ทำชอบด้วยกฎหมาย สิ่งสำคัญคือโทษทางวินัยที่ ก.ศป.ลงโทษตนนั้นคือลงโทษในเรื่องที่เกี่ยวกับไม่รักษาชื่อเสียงในตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ซึ่งการที่ผิดวินัยในเรื่องดังกล่าวนั้นตนจะต้องผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เมื่อคณะกรรมสอบสวนเสียงข้างมากซึ่งถือว่าเป็นมติเห็นว่าตนไม่ผิด เมื่อตนไม่ผิดในเรื่องที่กล่าวหา จะมากล่าวหาว่าตนทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียงในตำแหน่งหน้าที่นั้นผิดได้อย่างไร
เมื่อถามว่า มาถวายฎีกาเพื่ออะไร นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ถวายฎีกาเพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งก็สุดจะคาดเดาได้ว่าผลจะออกมาในทางใด แต่ตนเขียนไปว่าขอความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของ ก.ศป. ที่กลั่นแกล้งไม่เป็นธรรมต่อตนเองเพราะเหตุว่าตนดำรงตำแหน่งในฐานะที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ที่สำคัญถ้าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนไทย จะหวังอะไรกับการให้ความเป็นธรรมต่อองค์กรนี้
เมื่อถามว่า จะมีการรื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ นายหัสวุฒิกล่าวว่า ตนไม่ได้เลือกทางที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง สมมุติว่าตนฟ้องคดีตนก็ไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรมในองค์กรนี้ เพราะจากข้อเท็จจริงนั้นปรากฏให้เห็นแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนรอสัมภาษณ์นายหัสวุฒิ ได้มีกลุ่มข้าราชการรักความถูกต้อง นำโดยนางเบญจพร สุธรรมชัย ได้เอาจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม และยับยั้ง ก.ศป.เสนอทูลเกล้าฯ ให้นายหัสวุฒิพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดมาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน โดยเห็นว่าการปลดประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นการกลั่นแกล้งนายหัสวุฒิ และเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทางกลุ่มฯ จึงขอให้ประธานองคมนตรี และนายกรัฐมนตรียับยั้งการเสนอของ ก.ศป.ที่จะให้นายหัสวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เรื่องการใช้อำนาจตุลาการคดีปกครองกระทบความเชื่อมั่นในรัฐอย่างรุนแรง ไประคายเคืองพระยุคลบาท
โดยภายหลังการยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกานายหัสวุฒิ ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง ว่าจากการที่ถูกองค์กรบริหารงานบุคคล ก.ศป. กลั่นแกล้งซึ่งข้อเท็จจริงมีทั้งพยานบุคคล ไม่มีใครพาดพิงตนเลย แม้แต่กระบวนการในการสอบสวนนั้นก็ไม่ชอบ เพราะมีการทำผิดขั้นตอนตั้งแต่แต่งตั้งกรรมการสอบสวนพักราชการ
สิ่งสำคัญตนตนคิดว่าการลงมติลงโทษตนนั้นมีองค์ประชุมไม่ครบเพราะเหตุว่า องค์ประกอบของ ก.ศป.นั้นมีทั้งหมด 13 คน ดังนั้น เสียงข้างมากจะต้องมี 7 คน แต่ปรากฏว่าในการลงมติลงโทษตนนั้น มีกรรมการอยู่ในที่ประชุมลงมตินั้นเพียง 6 คน ซึ่งตนคิดว่ามีปัญหาในเรื่ององค์ประชุมของการลงมติ
ส่วนกรณีที่ไม่ยื่นฟ้องศาลปกครอง เนื่องจากตนเป็นตุลาการศาลปกครองสูงสุด คนที่พิจารณาเรื่องตนนั้น ส่วนใหญ่เป็นตุลาการเกือบทั้งหมด ซึ่งในระดับองค์กรบริหารงานบุคคล ตนยังไม่ได้รับความเป็นธรรมเลย ถ้าหากตนไปฟ้องคดีแล้วบุคคลเหล่านี้มาเป็นตุลาการตัดสินคดีตน แล้วคิดว่าบุคคลเหล่านั้นจะให้ความยุติธรรมต่อตนหรือไม่ แต่สิ่งที่ตนทำอยู่ตอนนี้คือหนทางต่อสู้ทางกฎหมาย เช่น การไปร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบการกระทำของ ก.ศป.และองค์ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และสิ่งที่ตนพูดออกไปนั้นทางศาลปกครองโดยสำนักงานศาลปกครองก็โต้กลับมาทุกเรื่อง ตนจึงอยากถามกลับว่าให้เอาข้อเท็จจริงและหลักฐานออกมาแสดง
อย่าพูดแบบว่า ก.ศป.ทำชอบด้วยกฎหมาย สิ่งสำคัญคือโทษทางวินัยที่ ก.ศป.ลงโทษตนนั้นคือลงโทษในเรื่องที่เกี่ยวกับไม่รักษาชื่อเสียงในตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง ซึ่งการที่ผิดวินัยในเรื่องดังกล่าวนั้นตนจะต้องผิดในเรื่องที่ถูกกล่าวหา เมื่อคณะกรรมสอบสวนเสียงข้างมากซึ่งถือว่าเป็นมติเห็นว่าตนไม่ผิด เมื่อตนไม่ผิดในเรื่องที่กล่าวหา จะมากล่าวหาว่าตนทำให้เสี่ยมเสียชื่อเสียงในตำแหน่งหน้าที่นั้นผิดได้อย่างไร
เมื่อถามว่า มาถวายฎีกาเพื่ออะไร นายหัสวุฒิ กล่าวว่า ถวายฎีกาเพื่อขอความเป็นธรรม ซึ่งก็สุดจะคาดเดาได้ว่าผลจะออกมาในทางใด แต่ตนเขียนไปว่าขอความเป็นธรรมจากการปฏิบัติงานของ ก.ศป. ที่กลั่นแกล้งไม่เป็นธรรมต่อตนเองเพราะเหตุว่าตนดำรงตำแหน่งในฐานะที่พระองค์ท่านโปรดเกล้าฯ ที่สำคัญถ้าตนไม่ได้รับความเป็นธรรม ประชาชนคนไทย จะหวังอะไรกับการให้ความเป็นธรรมต่อองค์กรนี้
เมื่อถามว่า จะมีการรื้อฟื้นคดีใหม่หรือไม่ นายหัสวุฒิกล่าวว่า ตนไม่ได้เลือกทางที่จะฟ้องคดีต่อศาลปกครอง สมมุติว่าตนฟ้องคดีตนก็ไม่เชื่อว่าจะได้รับความเป็นธรรมในองค์กรนี้ เพราะจากข้อเท็จจริงนั้นปรากฏให้เห็นแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่สื่อมวลชนรอสัมภาษณ์นายหัสวุฒิ ได้มีกลุ่มข้าราชการรักความถูกต้อง นำโดยนางเบญจพร สุธรรมชัย ได้เอาจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี เพื่อขอความเป็นธรรม และยับยั้ง ก.ศป.เสนอทูลเกล้าฯ ให้นายหัสวุฒิพ้นจากตำแหน่งประธานศาลปกครองสูงสุดมาแจกจ่ายให้กับสื่อมวลชน โดยเห็นว่าการปลดประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นการกลั่นแกล้งนายหัสวุฒิ และเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ทางกลุ่มฯ จึงขอให้ประธานองคมนตรี และนายกรัฐมนตรียับยั้งการเสนอของ ก.ศป.ที่จะให้นายหัสวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เพื่อไม่ให้เรื่องการใช้อำนาจตุลาการคดีปกครองกระทบความเชื่อมั่นในรัฐอย่างรุนแรง ไประคายเคืองพระยุคลบาท
