จากการที่เกิดกระแสในโลกโซเชียลมีเดีย หลังมีเอกสารคล้ายคำพิพากษาโผล่ทางสื่อโซเชียล กรณีตำรวจสภ.หนองไผ่ จ.เพชรบูรณ์จับกุมผู้ขับขี่จักรยานดื่มเหล้าขาวดำเนินคดีในข้อหา“เมาแล้วปั่น” ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดวิเชียรเป็นโจทก์สั่งฟ้อง กระทั่งศาลจังหวัดตัดสินยกฟ้องโดยชี้ว่าไม่เข้าข้อกฎหมายกระทำความผิดในกฎหมายจราจร จนทำให้เกิดปมถกเถียงกลายเป็นประเด็นดราม่าถึงการทำหน้าที่ของทางตำรวจ นอกจากนี้ยังเกิดกระแสโต้แย้งในข้อกฎหมายกระทั่งมีเสียงเรียกร้องให้ยกเป็นกรณีศึกษา
ล่าสุดประเด็นดังกล่าวยังป็นหัวข้อถกเถียงกันในแวดวงตำรวจเพชรบูรณ์ และแวดวงนักกฎหมาย โดยนายตำรวจระดับสูงรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อผลการพิพากษาออกมาก็ต้องให้ความเคารพ กรณีนี้ทางตำรวจจับกุมก็เข้าใจและตีความในข้อกฎหมาย โดยเฉพาะคำว่ารถในคำจำกัดความไม่ได้บอกว่ารถจักรยาน ขณะนี้จึงอยู่ในขั้นตอนของการหาในข้อกฎหมายอยู่ แต่ทั้งนี้ทางตำรวจเองก็คงต้องประชุมชี้แจงกับหัวหน้าสถานีและพนักงานสอบสวนถึงแนวปฎิบัติต่อไป
ในขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า จากสำนวนคดียังไม่จบขบวนการเพราะยังอยู่ในการพิจารณาของศาลสูงอยู่ และขณะนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งลงมาซึ่งถือว่ายังไม่จบขบวนการของการยื่นอุทธรณ์ และไม่แน่อาจจะมีการยื่นอุทธรณ์ก็ได้ เพราะเป็นการตีความทางกฎหมายของสองหน่วยงานโดยใช้กฎหมายคนละชุดกัน ฉะนั้นจึงยังไม่แน่ใจว่าอัยการศาลสูงจะพิจารณาและสั่งลงมาอย่างไรซึ่งต้องรอการวินิจฉัยอีกที
อีกทั้งยังไม่ชัดว่ากฎหมายมีช่องโหว่จริงหรือไม่เพราะการตีความแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอย่างกรณีนี้ทางตำรวจและทางอัยการเอาตามตัวบทหลักทั่วไปมาฟ้อง แต่ทางศาลเอาข้อยกเว้นมายกซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อยกเว้นจริงหรือไม่ ตรงนี้มีการตีความสองลักษณะคือสองหน่วย หน่วยใครหน่วยมัน ตอนนี้จึงไม่ยุติว่าหมวดนี้จะบังคับใช้กับจักรยานไหม ขณะนี้ก็ยังพูดคุยหารือกันอยู่
อย่างไรก็ตามแม้อัยการจังหวัดจะเห็นควรแต่ก็ยังต้องส่งให้อัยการศาลสูงเพื่อโปรดพิจารณาอีก หากอัยการศาลสูงเห็นชอบต้องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งหากผู้ว่าฯยืนตามถึงจะจบ แต่จากข่าวที่ออกมาเหมือนจะจบแล้วแต่จริงๆแล้วยังไม่จบ เพราะหลังการจับกุมของทางตำรวจเมื่อผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ก็ต้องส่งฟ้องศาลแขวงภายใน 48 ชั่วโมง และอัตราโทษไม่ถึง 3 ปีระยะเวลาต้องค่อนข้างเร็ว ส่วนที่มีการโต้แย้งว่ามีความผิดพลาดไหมคงไม่มีใครผิดพลาด เพราะเป็นการตีความกฎหมายและขึ้นอยู่กับจะเอาประโยชน์ตรงไหนมาใช้
ด้านนางบุญทิพย์ กองเผือก มารดาของผู้ขับขี่จักรยานเมาแล้วปั่นกล่าวว่า ลูกชายไปเที่ยวบ้านแฟนที่อ.หนองไผ่และดื่มเหล้าขาวไป 1 กั๊ก จากนั้นโทรมาบอกว่าจะปั่นจักรยานเดินทางกลับบ้านพักที่ต.บ้านกลาง อ.หล่มสัก ระยะทางราว 17 กิโลเมตร ก็ยังทักท้วงให้ขึ้นรถเมล์มาดีกว่า ระหว่างทางไปเจอตำรวจตั้งด่านพอดีจึงถูกเรียกตรวจสอบวัดค่าแอลกอฮอล์ เพราะพบเห็นอาการเมาสุรา จากนั้นจึงถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีและส่งฟ้องศาล จึงเตรียมเงินไป 20,000 บาทเพื่อเตรียมสำหรับเสียตค่าปรับ แต่เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องก็ดีใจ
นางบุญทิพย์กล่าวว่า ในตอนแรกก็งงๆว่าเมาแล้วปั่นจักรยานต้องถูกจับกุม เพราะไม่เคยได้ยินและไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยังไปโต้แย้งกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนกันว่ามีด้วยเหรอกฎหมายข้อนี้ แต่เมื่อผลการตัดสินพิพากษาของศาลออกมา โดยลูกชายไม่ต้องถูกลงโทษและไม่ได้เสียค่าปรับก็ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา
ทั้งนี้ตนไม่ได้ติดใจทางตำรวจและคงไม่ไปฟ้องร้องเป็นความทั้งสิ้นเข้าใจดีว่าเป็นการทำหน้าที่ โดยเฉพาะลูกชายก็ดื่มสุราแล้วปั่นจักรยานและมีอาการเมามายด้วย ทางตำรวจก็หวังดีจึงได้จับกุมส่วนจักรยานที่ลูกชายใช้ปั่นเป็นจักรยานธรรมดาและเป็นของหลานชายที่ใช้ปั่นเวลาไปโรงเรียนส่วนลูกชายตอนนี้กลับไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้ว
ล่าสุดประเด็นดังกล่าวยังป็นหัวข้อถกเถียงกันในแวดวงตำรวจเพชรบูรณ์ และแวดวงนักกฎหมาย โดยนายตำรวจระดับสูงรายหนึ่งเปิดเผยว่า เมื่อผลการพิพากษาออกมาก็ต้องให้ความเคารพ กรณีนี้ทางตำรวจจับกุมก็เข้าใจและตีความในข้อกฎหมาย โดยเฉพาะคำว่ารถในคำจำกัดความไม่ได้บอกว่ารถจักรยาน ขณะนี้จึงอยู่ในขั้นตอนของการหาในข้อกฎหมายอยู่ แต่ทั้งนี้ทางตำรวจเองก็คงต้องประชุมชี้แจงกับหัวหน้าสถานีและพนักงานสอบสวนถึงแนวปฎิบัติต่อไป
ในขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า จากสำนวนคดียังไม่จบขบวนการเพราะยังอยู่ในการพิจารณาของศาลสูงอยู่ และขณะนี้ก็ยังไม่มีคำสั่งลงมาซึ่งถือว่ายังไม่จบขบวนการของการยื่นอุทธรณ์ และไม่แน่อาจจะมีการยื่นอุทธรณ์ก็ได้ เพราะเป็นการตีความทางกฎหมายของสองหน่วยงานโดยใช้กฎหมายคนละชุดกัน ฉะนั้นจึงยังไม่แน่ใจว่าอัยการศาลสูงจะพิจารณาและสั่งลงมาอย่างไรซึ่งต้องรอการวินิจฉัยอีกที
อีกทั้งยังไม่ชัดว่ากฎหมายมีช่องโหว่จริงหรือไม่เพราะการตีความแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันอย่างกรณีนี้ทางตำรวจและทางอัยการเอาตามตัวบทหลักทั่วไปมาฟ้อง แต่ทางศาลเอาข้อยกเว้นมายกซึ่งตรงนี้จะเป็นข้อยกเว้นจริงหรือไม่ ตรงนี้มีการตีความสองลักษณะคือสองหน่วย หน่วยใครหน่วยมัน ตอนนี้จึงไม่ยุติว่าหมวดนี้จะบังคับใช้กับจักรยานไหม ขณะนี้ก็ยังพูดคุยหารือกันอยู่
อย่างไรก็ตามแม้อัยการจังหวัดจะเห็นควรแต่ก็ยังต้องส่งให้อัยการศาลสูงเพื่อโปรดพิจารณาอีก หากอัยการศาลสูงเห็นชอบต้องเสนอผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งหากผู้ว่าฯยืนตามถึงจะจบ แต่จากข่าวที่ออกมาเหมือนจะจบแล้วแต่จริงๆแล้วยังไม่จบ เพราะหลังการจับกุมของทางตำรวจเมื่อผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ ก็ต้องส่งฟ้องศาลแขวงภายใน 48 ชั่วโมง และอัตราโทษไม่ถึง 3 ปีระยะเวลาต้องค่อนข้างเร็ว ส่วนที่มีการโต้แย้งว่ามีความผิดพลาดไหมคงไม่มีใครผิดพลาด เพราะเป็นการตีความกฎหมายและขึ้นอยู่กับจะเอาประโยชน์ตรงไหนมาใช้
ด้านนางบุญทิพย์ กองเผือก มารดาของผู้ขับขี่จักรยานเมาแล้วปั่นกล่าวว่า ลูกชายไปเที่ยวบ้านแฟนที่อ.หนองไผ่และดื่มเหล้าขาวไป 1 กั๊ก จากนั้นโทรมาบอกว่าจะปั่นจักรยานเดินทางกลับบ้านพักที่ต.บ้านกลาง อ.หล่มสัก ระยะทางราว 17 กิโลเมตร ก็ยังทักท้วงให้ขึ้นรถเมล์มาดีกว่า ระหว่างทางไปเจอตำรวจตั้งด่านพอดีจึงถูกเรียกตรวจสอบวัดค่าแอลกอฮอล์ เพราะพบเห็นอาการเมาสุรา จากนั้นจึงถูกตั้งข้อหาดำเนินคดีและส่งฟ้องศาล จึงเตรียมเงินไป 20,000 บาทเพื่อเตรียมสำหรับเสียตค่าปรับ แต่เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องก็ดีใจ
นางบุญทิพย์กล่าวว่า ในตอนแรกก็งงๆว่าเมาแล้วปั่นจักรยานต้องถูกจับกุม เพราะไม่เคยได้ยินและไม่เคยพบเห็นมาก่อน ยังไปโต้แย้งกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเหมือนกันว่ามีด้วยเหรอกฎหมายข้อนี้ แต่เมื่อผลการตัดสินพิพากษาของศาลออกมา โดยลูกชายไม่ต้องถูกลงโทษและไม่ได้เสียค่าปรับก็ย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา
ทั้งนี้ตนไม่ได้ติดใจทางตำรวจและคงไม่ไปฟ้องร้องเป็นความทั้งสิ้นเข้าใจดีว่าเป็นการทำหน้าที่ โดยเฉพาะลูกชายก็ดื่มสุราแล้วปั่นจักรยานและมีอาการเมามายด้วย ทางตำรวจก็หวังดีจึงได้จับกุมส่วนจักรยานที่ลูกชายใช้ปั่นเป็นจักรยานธรรมดาและเป็นของหลานชายที่ใช้ปั่นเวลาไปโรงเรียนส่วนลูกชายตอนนี้กลับไปทำงานที่ต่างจังหวัดแล้ว