นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ ว่า "ประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุตั้งแต่ พ.ศ. 2548 โดยประชากรผู้สูงอายุ มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด และใน 20 ปีนับจากนี้ ประเทศไทยจะกลายเป็น สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการเกิดของประเทศเรายังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สัดส่วนประชากรวัยพึ่งพิงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว จากข้อมูลของสภาพัฒน์ ในปี 2553 มีสัดส่วนประชากรวัยทำงาน 10 คน ต่อประชากรวัยพึ่งพิงเพียง 5 คน แต่ในปี 2583 หรือในอีก 25 ปี ประชากรวัยทำงาน 10 คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุและเด็กประมาณ 8 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 60%
แม้ในขณะนี้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่รัฐบาล รวมถึงสังคม คงไม่อาจละเลยที่จะช่วยกันเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสภาพสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตระยะยาว ซึ่งนอกจากจะต้องส่งเสริมให้คนมีบุตร โดยควรต้องเตรียมการในแง่มาตรการการจูงใจทั้งทางด้านภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้มีบุตร หรือลดหย่อนภาษีนิติบุคคลให้กับเอกชน ที่สนับสนุนการสร้างสิ่งจูงใจให้พ่อแม่สมัยใหม่มีลูกกันมากขึ้น โดยไม่ต้องละทิ้งหน้าที่การงานเพื่อมีบุตร เช่น ศูนย์เลี้ยงดูเด็ก หรือสิทธิประโยชน์ในการลาคลอด เป็นต้น ทั้งนี้สวัสดิการผู้สูงอายุ และการส่งเสริมการออมแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหามาตรการที่จะรับมือกับค่ารักษาพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยติดเตียงที่จะเพิ่มมากขึ้น โดยในหลายประเทศ ใช้กลไกของประชาชน ในการจัดศูนย์และให้การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้อยู่ในสภาพที่คุ้นเคยแล้ว ยังสามารถลดความแออัดของโรงพยาบาลได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ อาจพิจารณาสนับสนุนให้ทั้งเอกชน และราชการ ออกแบบ หรือปรับปรุงสิ่งก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อให้ผู้สูงอายุ ตลอดจนผู้พิการ สามารถดูแลตัวเองทั้งในเรื่องการเดินทาง และการทำกิจกรรมนอกบ้านได้สะดวกมากขึ้น
การวางทิศทางในการดูแลสังคม โดยเฉพาะประชากรเป็นเรื่องระยะยาว แต่ก็เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ เพราะทั้งการสร้างคนที่มีคุณภาพ และสภาพสังคมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้ปัญหาเร่งด่วนระยะสั้นมาบดบังการเตรียมความพร้อมระยะยาว เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย"
แม้ในขณะนี้จะเป็นช่วงเศรษฐกิจถดถอย แต่รัฐบาล รวมถึงสังคม คงไม่อาจละเลยที่จะช่วยกันเตรียมความพร้อม เพื่อรองรับสภาพสังคมที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตระยะยาว ซึ่งนอกจากจะต้องส่งเสริมให้คนมีบุตร โดยควรต้องเตรียมการในแง่มาตรการการจูงใจทั้งทางด้านภาษี เช่น การลดหย่อนภาษีเงินได้ให้กับผู้มีบุตร หรือลดหย่อนภาษีนิติบุคคลให้กับเอกชน ที่สนับสนุนการสร้างสิ่งจูงใจให้พ่อแม่สมัยใหม่มีลูกกันมากขึ้น โดยไม่ต้องละทิ้งหน้าที่การงานเพื่อมีบุตร เช่น ศูนย์เลี้ยงดูเด็ก หรือสิทธิประโยชน์ในการลาคลอด เป็นต้น ทั้งนี้สวัสดิการผู้สูงอายุ และการส่งเสริมการออมแล้ว ยังอาจจะต้องพิจารณาหามาตรการที่จะรับมือกับค่ารักษาพยาบาล และจำนวนผู้ป่วยติดเตียงที่จะเพิ่มมากขึ้น โดยในหลายประเทศ ใช้กลไกของประชาชน ในการจัดศูนย์และให้การดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้อยู่ในสภาพที่คุ้นเคยแล้ว ยังสามารถลดความแออัดของโรงพยาบาลได้อีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ อาจพิจารณาสนับสนุนให้ทั้งเอกชน และราชการ ออกแบบ หรือปรับปรุงสิ่งก่อสร้างและสิ่งอำนวยความสะดวกที่เอื้อให้ผู้สูงอายุ ตลอดจนผู้พิการ สามารถดูแลตัวเองทั้งในเรื่องการเดินทาง และการทำกิจกรรมนอกบ้านได้สะดวกมากขึ้น
การวางทิศทางในการดูแลสังคม โดยเฉพาะประชากรเป็นเรื่องระยะยาว แต่ก็เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ เพราะทั้งการสร้างคนที่มีคุณภาพ และสภาพสังคมที่เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการ จึงอยากให้รัฐบาลให้ความสำคัญ เพื่อไม่ให้ปัญหาเร่งด่วนระยะสั้นมาบดบังการเตรียมความพร้อมระยะยาว เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย"
