วันนี้ (14 ก.ย.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวระหว่างเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เป็นครั้งแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง ว่า หลังคณะรัฐมนตรี(ครม.) อนุมัติงบ 600 ล้านบาทเพิ่มเติมจากงบเหมาจ่ายรายหัวให้ สปสช.ดำเนินการครอบคลุมผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียงในปีงบประมาณ 2559 เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เบื้องต้นจะแบ่งงบนี้เข้ากองทุนสุขภาพตำบลจำนวน 500 ล้านบาท ดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง 1 แสนบาท หรือร้อยละ 10 ของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคิดเป็นอัตราหัวเฉลี่ย 5,000 บาท เพื่อจัดบริการตามชุดสิทธิประโยชน์ด้านการแพทย์ที่ได้กำหนดไว้ เช่น ตรวจคัดกรอง ประเมินความต้องการดูแล การเยี่ยมบ้าน สร้างเสริมสุขภาพป้องกันโรค กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัด อุปกรณ์เครื่องช่วยทางการแพทย์ ก่อนจะขยายให้ครบทุกคนใน 3 ปี ส่วนอีก 100 ล้านบาทให้โรงพยาบาลชุมชน(รพช.) และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล(รพ.สต.) 1,000 แห่ง เพื่อทำงานเชิงรุกป้องกันสุขภาพ ดูแลผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง เป็นต้น
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า เดิมในปี 2559 การดูแลอาจได้เฉพาะผู้สูงอายุสิทธิบัตรทอง แต่จากการพิจารณา บอร์ดฯ เห็นว่าไม่ควรจำกัดสิทธิ โดยต้องขยายให้ครบทุกสิทธิสุขภาพของไทย จึงได้ให้ สปสช.ประสานกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม และอาจต้องเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงนี้ให้ครบทุกสิทธิ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รักษาการเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จะแบ่งกรอบระยะเวลา 3 ปี งบประมาณทั้งหมดราว 6,000 ล้านบาท แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ คือ ปีแรกเริ่มปี 2559 เน้นในผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง 100,000 คน ในปี 2560 เพิ่มอีกเป็น 500,000 คน และจะเพิ่มเป็น 1 ล้านคนในปี 2561 เบื้องต้นในปี 2559 จะมีศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขึ้นในชุมชนที่มีผู้จัดการศูนย์ที่เป็นมืออาชีพ หรือ Care manager และจะมีอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือ Care Giver โดยศูนย์นี้มีบทบาทจัดทำข้อมูลและแผนดูแลกลุ่มเป้าหมายเป็นรายคน ทำหน้าที่ฟื้นฟูและมีกิจกรรมบำบัดผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ฯลฯ โดยจะมีการดำเนินการปีแรกประมาณ 1,000 ตำบล โดยพื้นที่นำร่อง 1,000 แห่งนั้น จะมีหลักเกณฑ์การเลือก โดยต้องเป็นพื้นที่ที่นำร่องและทำงานด้านดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง มีการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพระดับดี เป็นต้น
นพ.ปิยะสกล กล่าวว่า เดิมในปี 2559 การดูแลอาจได้เฉพาะผู้สูงอายุสิทธิบัตรทอง แต่จากการพิจารณา บอร์ดฯ เห็นว่าไม่ควรจำกัดสิทธิ โดยต้องขยายให้ครบทุกสิทธิสุขภาพของไทย จึงได้ให้ สปสช.ประสานกรมบัญชีกลาง สำนักงานประกันสังคม และอาจต้องเสนอ ครม.เพื่อพิจารณาขยายสิทธิประโยชน์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงนี้ให้ครบทุกสิทธิ
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รักษาการเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า สำหรับแผนการดำเนินการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง จะแบ่งกรอบระยะเวลา 3 ปี งบประมาณทั้งหมดราว 6,000 ล้านบาท แบ่งการทำงานออกเป็น 3 ระยะ คือ ปีแรกเริ่มปี 2559 เน้นในผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง 100,000 คน ในปี 2560 เพิ่มอีกเป็น 500,000 คน และจะเพิ่มเป็น 1 ล้านคนในปี 2561 เบื้องต้นในปี 2559 จะมีศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขึ้นในชุมชนที่มีผู้จัดการศูนย์ที่เป็นมืออาชีพ หรือ Care manager และจะมีอาสาสมัครที่ผ่านการฝึกอบรมขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือ Care Giver โดยศูนย์นี้มีบทบาทจัดทำข้อมูลและแผนดูแลกลุ่มเป้าหมายเป็นรายคน ทำหน้าที่ฟื้นฟูและมีกิจกรรมบำบัดผู้สูงอายุติดบ้านติดเตียง ฯลฯ โดยจะมีการดำเนินการปีแรกประมาณ 1,000 ตำบล โดยพื้นที่นำร่อง 1,000 แห่งนั้น จะมีหลักเกณฑ์การเลือก โดยต้องเป็นพื้นที่ที่นำร่องและทำงานด้านดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง มีการบริหารระบบหลักประกันสุขภาพระดับดี เป็นต้น