สื่อแดนปลาดิบเผยวันจันทร์ (9 ส.ค.) ร่างคำปราศรัยเนื่องในวาระครบรอบ 70 ปีการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่จีนและเกาหลีใต้กำลังจดจ่อรอฟังนั้น “อาเบะ” จะเอ่ยคำ “ขอโทษ” รวมทั้งยินยอมกล่าวถึง “การรุกราน” ของกองทัพญี่ปุ่น ขณะที่ผลโพลล่าสุดระบุความนิยมในตัวนายกรัฐมนตรีผู้นี้ กำลังตกต่ำสุดนับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว และประชาชนส่วนใหญ่คัดค้านการเปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขึ้นมาใหม่
สถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นเอชเค รายงานเมื่อวันจันทร์ (9) ว่า ต้นฉบับร่างคำปราศรัยที่คาดว่า นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ จะกล่าวในวันศุกร์นี้ (14) หรือ 1 วันก่อนวันครบรอบ 70 ปีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนต่อกองทัพสัมพันธมิตรและเป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มีคำว่า “ขอโทษ” และ “การรุกราน” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในคำปราศรัยประวัติศาสตร์ปี 1995 ของโทมิอิชิ มุรายามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น ที่แสดง “ความสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง” และ “ขออภัยจากใจจริง” ต่อการกระทำในอดีตของญี่ปุ่น
คำปราศรัยของมุรายามะระบุว่า การรุกรานและการยึดครองของญี่ปุ่นได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงและความทุกข์เข็ญแก่ประชาชนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ผู้นำแดนอาปลาดิบได้เปลี่ยนใจหันมายอมกล่าวคำขอโทษโดยตรง ก็เพราะต้องการเอาใจอเมริกามหามิตร ที่คาดหวังจะเห็นสถานการณ์ความตึงเครียดในเอเชียตะวันออกเบาบางลง รวมทั้งต้องการฟื้นสัมพันธ์กับจีน และคาดหวังการสร้างบรรยากาศอันดีสำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่พวกผู้ช่วยใกล้ชิดระบุว่าจะมีขึ้นในเดือนหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุง ได้รายงานผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของประชาชนญี่ปุ่นที่พบว่า คะแนนนิยมในตัวอาเบะลดลงอีก 3% มาอยู่ที่ 32% ต่ำสุดนับจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2012 ขณะที่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงแสดงความหวั่นกลัวว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายความมั่นคงจะเปิดทางให้กองทัพญี่ปุ่นออกไปต่อสู้นอกประเทศได้เป็นครั้งแรกนับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ทั้งนี้ คะแนนนิยมในตัวอาเบะทรุดฮวบนับจากที่นักวิชาการแถลงต่อคณะที่ปรึกษาของรัฐสภาเมื่อเดือนมิถุนายนว่า กฎหมายดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญใฝ่สันติ ทว่า อาเบะยืนกรานว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับการป้องปรามและลดโอกาสในการเกิดสงคราม ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลัวว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาดึงเข้าสู่สถานการณ์ขัดแย้งทั่วโลก
ผู้ตอบแบบสำรวจที่ไมนิจิจัดทำขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีถึง 57% คัดค้านการเปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของเคียวชู อิเล็กทริก พาวเวอร์ โค ในโรงไฟฟ้าเซนได ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ขณะที่ผู้สนับสนุนมีเพียง 30%
สถานีวิทยุโทรทัศน์เอ็นเอชเค รายงานเมื่อวันจันทร์ (9) ว่า ต้นฉบับร่างคำปราศรัยที่คาดว่า นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ จะกล่าวในวันศุกร์นี้ (14) หรือ 1 วันก่อนวันครบรอบ 70 ปีที่ญี่ปุ่นประกาศยอมจำนนต่อกองทัพสัมพันธมิตรและเป็นการปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น มีคำว่า “ขอโทษ” และ “การรุกราน” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่ปรากฏอยู่ในคำปราศรัยประวัติศาสตร์ปี 1995 ของโทมิอิชิ มุรายามะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น ที่แสดง “ความสำนึกผิดอย่างลึกซึ้ง” และ “ขออภัยจากใจจริง” ต่อการกระทำในอดีตของญี่ปุ่น
คำปราศรัยของมุรายามะระบุว่า การรุกรานและการยึดครองของญี่ปุ่นได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงและความทุกข์เข็ญแก่ประชาชนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเอเชีย
สำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า ผู้นำแดนอาปลาดิบได้เปลี่ยนใจหันมายอมกล่าวคำขอโทษโดยตรง ก็เพราะต้องการเอาใจอเมริกามหามิตร ที่คาดหวังจะเห็นสถานการณ์ความตึงเครียดในเอเชียตะวันออกเบาบางลง รวมทั้งต้องการฟื้นสัมพันธ์กับจีน และคาดหวังการสร้างบรรยากาศอันดีสำหรับการประชุมสุดยอดระหว่างประธานาธิบดีบารัค โอบามา กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่พวกผู้ช่วยใกล้ชิดระบุว่าจะมีขึ้นในเดือนหน้า
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อวันจันทร์ หนังสือพิมพ์ไมนิจิ ชิมบุง ได้รายงานผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดของประชาชนญี่ปุ่นที่พบว่า คะแนนนิยมในตัวอาเบะลดลงอีก 3% มาอยู่ที่ 32% ต่ำสุดนับจากเข้ารับตำแหน่งในเดือนธันวาคม 2012 ขณะที่ผู้มีสิทธิ์ออกเสียงแสดงความหวั่นกลัวว่า การเปลี่ยนแปลงนโยบายความมั่นคงจะเปิดทางให้กองทัพญี่ปุ่นออกไปต่อสู้นอกประเทศได้เป็นครั้งแรกนับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
ทั้งนี้ คะแนนนิยมในตัวอาเบะทรุดฮวบนับจากที่นักวิชาการแถลงต่อคณะที่ปรึกษาของรัฐสภาเมื่อเดือนมิถุนายนว่า กฎหมายดังกล่าวเข้าข่ายละเมิดรัฐธรรมนูญใฝ่สันติ ทว่า อาเบะยืนกรานว่า จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อยกระดับการป้องปรามและลดโอกาสในการเกิดสงคราม ขณะที่ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกลัวว่า ญี่ปุ่นจะถูกอเมริกาดึงเข้าสู่สถานการณ์ขัดแย้งทั่วโลก
ผู้ตอบแบบสำรวจที่ไมนิจิจัดทำขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีถึง 57% คัดค้านการเปิดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของเคียวชู อิเล็กทริก พาวเวอร์ โค ในโรงไฟฟ้าเซนได ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ ขณะที่ผู้สนับสนุนมีเพียง 30%
