พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติยืนยันการส่งหนังสือถึงปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อขออนุญาตสั่งและนำเข้าปืนตามโครงการจัดหาอาวุธปืนพกสั้น เพื่อเป็นสวัสดิการของข้าราชการตำรวจ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2558 พล.ต.อ.สมยศ ได้มีหนังสือให้ทุกกองบัญชาการทำการสำรวจผู้สนใจสั่งซื้อ โดยระบุว่าจะสามารถซื้อปืนสวัสดิการได้ในราคากระบอกละ 18,000 บาท ต่อมานายอมาโร กอนคาลเวส รองประธานบริษัทซิกซาวเออร์ ผู้ผลิตปืนจากประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าพบและยืนยันข้อตกลงในการเจรจา
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดซื้อปืนสวัสดิการยี่ห้อซิกซาวเออร์ รุ่นพี320 ขนาด 9 มิลลิเมตร บริษัทซิกซาวเออร์จะขายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในราคา 18,000 บาท จากราคาปกติ 70,000 บาท เพราะเป็นการซื้อตรงโดยไม่ผ่านนายหน้าหรือคนกลาง
พล.ต.อ.สมยศ ยังยืนยันความจำเป็นในการซื้อปืนดังกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าปืนสวัสดิการไม่มีประสิทธิภาพ จากการสำรวจความต้องการของตำรวจที่ต้องการซื้อปืนพบว่ามีตำรวจทั่วประเทศกว่า 152,460 นาย แสดงความจำนงในการซื้อ ซึ่งทุกนายล้วนใช้เงินส่วนตัว เพื่อซื้อปืนเป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ แทนการเบิกปืนจากส่วนกลางไปใช้
ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยทำหนังสือไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอลดหย่อนภาษีของอาวุธปืน ซึ่งมีมูลค่าร้อยละ 30 ของราคาปืน แต่กระทรวงการคลังตอบกลับมาว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นภาษีส่วนบุคคล ส่งผลให้ปืนยังมีราคาแพง จะเห็นได้ว่าการจัดหาปืนสวัสดิการตำรวจครั้งนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนของทางราชการ ทั้งจัดซื้อจัดจ้างด้วยกรณีพิเศษหรือการประกวดราคา แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา และคาดว่านายกรัฐมนตรีจะเห็นชอบด้วย
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 เม.ย.2558 พล.ต.อ.สมยศ ได้มีหนังสือให้ทุกกองบัญชาการทำการสำรวจผู้สนใจสั่งซื้อ โดยระบุว่าจะสามารถซื้อปืนสวัสดิการได้ในราคากระบอกละ 18,000 บาท ต่อมานายอมาโร กอนคาลเวส รองประธานบริษัทซิกซาวเออร์ ผู้ผลิตปืนจากประเทศสหรัฐอเมริกา เข้าพบและยืนยันข้อตกลงในการเจรจา
รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดซื้อปืนสวัสดิการยี่ห้อซิกซาวเออร์ รุ่นพี320 ขนาด 9 มิลลิเมตร บริษัทซิกซาวเออร์จะขายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในราคา 18,000 บาท จากราคาปกติ 70,000 บาท เพราะเป็นการซื้อตรงโดยไม่ผ่านนายหน้าหรือคนกลาง
พล.ต.อ.สมยศ ยังยืนยันความจำเป็นในการซื้อปืนดังกล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตัวเอง พบว่าปืนสวัสดิการไม่มีประสิทธิภาพ จากการสำรวจความต้องการของตำรวจที่ต้องการซื้อปืนพบว่ามีตำรวจทั่วประเทศกว่า 152,460 นาย แสดงความจำนงในการซื้อ ซึ่งทุกนายล้วนใช้เงินส่วนตัว เพื่อซื้อปืนเป็นอาวุธประจำกายในการปฏิบัติหน้าที่ แทนการเบิกปืนจากส่วนกลางไปใช้
ที่ผ่านมา สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยทำหนังสือไปยังกระทรวงการคลัง เพื่อขอลดหย่อนภาษีของอาวุธปืน ซึ่งมีมูลค่าร้อยละ 30 ของราคาปืน แต่กระทรวงการคลังตอบกลับมาว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นภาษีส่วนบุคคล ส่งผลให้ปืนยังมีราคาแพง จะเห็นได้ว่าการจัดหาปืนสวัสดิการตำรวจครั้งนี้ไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างตามขั้นตอนของทางราชการ ทั้งจัดซื้อจัดจ้างด้วยกรณีพิเศษหรือการประกวดราคา แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหา และคาดว่านายกรัฐมนตรีจะเห็นชอบด้วย