นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมเรื่องการปลดระวางรถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.) เห็นชอบให้ ขสมก.ทบทวนแผนการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจี 2,694 คันระยะสอง เพราะเห็นว่าเชื้อเพลิงเอ็นจีวีเริ่มมีปัญหาและอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการ และได้เสนอ 2 แนวทางในการจัดหารถเมล์ คือ จัดซื้อรถเมล์ไฟฟ้า ตามนโยบายของพล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รมว.คมนาคม หรือนำรถเมล์เก่าซึ่งอยู่ในแผนเตรียมปลดระวางรอบที่ 2 จำนวน 2,860คัน ไปซ่อมบำรุงและนำกลับมาใช้ใหม่ ส่วนการปลดระวางรถเมล์ตามแผนระยะแรก 628 คัน ที่ประชุมไม่ได้ติดใจเห็นชอบให้จำหน่ายออกได้ตากมปกติ เพราะเป็นรถเก่าที่ไม่สามารถนำวิ่งออกให้บริการได้ ดังนั้น ขสมก. จะต้องกลับไปศึกษาและเสนอกลับมายังกระทรวงคมนาคมโดยเร็ว
“การจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวล็อตแรก 489 คัน ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ล็อตถัดไปไม่ควรซื้อรถเอ็นจีวีแล้ว เพราะเชื้อเพลิงเริ่มมีปัญหามาก จึงเสนอให้ ขสมก. กลับไปดูว่าไปจะนำรถปลดระวางที่รอการขายที่เหลือ 2,860 คัน มาซ่อมและลับมาใช้ใหม่จะคุ้มหรือไม่ จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พบว่า 30% สามารถซ่อมและนำกลับใช้งานได้ ในขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของรถเมล์เก่าก็ลดลงอย่างต่อเนื่องวิธีนี้จะช่วยให้ ขสมก.ประหยัดค่าเชื้อเพลิงมากขึ้นด้วย”
ทั้งนี้ขสมก.ต้องประสานกับฝ่ายวิศวกรรมของกรมการขนส่งทางบก ให้เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ ภายหลังจากซ่อมบำรุงอย่างละเอียดก่อนที่จะนำรถกลับไปใช้งานใหม่ รถทุกคันต้องผ่านการรับรองมาตรฐานสมรรถนะทางวิศวกรรมก่อนจึงจะอนุญาตให้นำออกวิ่งได้ เนื่องจากรถเมล์เก่ามีอายุการใช้งานเฉลี่ยแตกต่างกัน ระหว่าง 14-24 ปี ส่วนแผนเดิม ขสมก. เตรียมปลดระวางรถเมล์เก่า 3,488 คัน ตั้งเป้าจะปลดระวางล็อตแรก 628 คันด้วยการจำหน่าย ส่วนอีก 2,860 คันที่เหลือจะทยอยจำหน่ายออกให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 10 ปี
“การจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวล็อตแรก 489 คัน ยังเป็นเหมือนเดิม แต่ล็อตถัดไปไม่ควรซื้อรถเอ็นจีวีแล้ว เพราะเชื้อเพลิงเริ่มมีปัญหามาก จึงเสนอให้ ขสมก. กลับไปดูว่าไปจะนำรถปลดระวางที่รอการขายที่เหลือ 2,860 คัน มาซ่อมและลับมาใช้ใหม่จะคุ้มหรือไม่ จากข้อมูลสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) พบว่า 30% สามารถซ่อมและนำกลับใช้งานได้ ในขณะที่แนวโน้มราคาน้ำมันดีเซลซึ่งเป็นเชื้อเพลิงของรถเมล์เก่าก็ลดลงอย่างต่อเนื่องวิธีนี้จะช่วยให้ ขสมก.ประหยัดค่าเชื้อเพลิงมากขึ้นด้วย”
ทั้งนี้ขสมก.ต้องประสานกับฝ่ายวิศวกรรมของกรมการขนส่งทางบก ให้เข้ามาตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของตัวรถ ภายหลังจากซ่อมบำรุงอย่างละเอียดก่อนที่จะนำรถกลับไปใช้งานใหม่ รถทุกคันต้องผ่านการรับรองมาตรฐานสมรรถนะทางวิศวกรรมก่อนจึงจะอนุญาตให้นำออกวิ่งได้ เนื่องจากรถเมล์เก่ามีอายุการใช้งานเฉลี่ยแตกต่างกัน ระหว่าง 14-24 ปี ส่วนแผนเดิม ขสมก. เตรียมปลดระวางรถเมล์เก่า 3,488 คัน ตั้งเป้าจะปลดระวางล็อตแรก 628 คันด้วยการจำหน่าย ส่วนอีก 2,860 คันที่เหลือจะทยอยจำหน่ายออกให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา 10 ปี
