สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลดลงเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) เพราะได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย ก่อนรับทราบผลการประชุมและแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 3.6 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,092.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดทองคำปิดทำการซื้อขายก่อนที่การประชุมระยะเวลา 2 วันของเฟดจะเสร็จสิ้นลงในวันพุธ ท่ามกลางการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. แต่เนื่องจากข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาด ทำให้มีการคาดการณ์กันใหม่ว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นเดือนก.ย.
การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้นักลงทุนขายทองและหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า โดยเฟดไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือนมิ.ย.2549 หรือก่อนที่วิกฤตการเงินจะเริ่มต้นขึ้น
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลาสองวันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งผลไปตามคาดคือเฟดยังคงนโยบายการเงินต่อไป ขณะที่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับในประเด็นที่เฟดระบุว่า ตลาดแรงงานและตลาดที่อยู่อาศัยกำลังปรับตัวดีขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 29 ก.ค. ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 121.12 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 17,751.39 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 15.32 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 2,108.57 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 22.52 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 5,111.73 จุด
เมื่อวันพุธดัชนีหุ้นสหรัฐฯอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน และปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกหลังจากเฟดออกแถลงการณ์หลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน โดยไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆเช่น หุ้นจีนที่กลับมาเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นของบริษัทในกลุ่มปิโตรเลียม
ทั้งนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติในการประชุมเมื่อวานนี้ให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ขณะที่ระบุถึงความคืบหน้าในตลาดแรงงาน ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดยังคงเดินหน้าในความพยายามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. หรือช่วงต่อไปในปีนี้
อย่างไรก็ดี เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุแต่เพียงว่าเฟดต้องการเห็นตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นต่อไป และต้องการมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับต่ำจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง ก่อนที่จะดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากที่รายงานจากรัฐบาลสหรัฐแสดงให้เห็นว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ ปิดที่ 48.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน ปรับตัวขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 53.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสต็อกน้ำมันดิบลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 459.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอยู่ในระดับทรงตัว สำหรับสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ลดลง 212,000 บาร์เรล สู่ระดับ 57.7 ล้านบาร์เรล
สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ลดลง 3.6 ดอลลาร์ หรือ 0.3% ปิดที่ 1,092.60 ดอลลาร์/ออนซ์
ตลาดทองคำปิดทำการซื้อขายก่อนที่การประชุมระยะเวลา 2 วันของเฟดจะเสร็จสิ้นลงในวันพุธ ท่ามกลางการคาดการณ์ของตลาดที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะส่งสัญญาณชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยก่อนหน้านี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. แต่เนื่องจากข้อมูลการจ้างงานที่อ่อนแอเกินคาด ทำให้มีการคาดการณ์กันใหม่ว่าเฟดจะชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไปเป็นเดือนก.ย.
การขึ้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้นักลงทุนขายทองและหันไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า โดยเฟดไม่ได้ขึ้นดอกเบี้ยมาตั้งแต่เดือนมิ.ย.2549 หรือก่อนที่วิกฤตการเงินจะเริ่มต้นขึ้น
ด้านดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่สองเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมระยะเวลาสองวันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งผลไปตามคาดคือเฟดยังคงนโยบายการเงินต่อไป ขณะที่ยังไม่ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนยังขานรับในประเด็นที่เฟดระบุว่า ตลาดแรงงานและตลาดที่อยู่อาศัยกำลังปรับตัวดีขึ้น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดการซื้อขายวันที่ 29 ก.ค. ในแดนบวก โดยดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 121.12 จุด หรือ 0.69% ปิดที่ 17,751.39 จุด ส่วนดัชนีเอสแอนด์พี 500 เพิ่มขึ้น 15.32 จุด หรือ 0.73% ปิดที่ 2,108.57 จุด ขณะที่ดัชนีแนสแด็กเพิ่มขึ้น 22.52 จุด หรือ 0.44% ปิดที่ 5,111.73 จุด
เมื่อวันพุธดัชนีหุ้นสหรัฐฯอยู่ในแดนบวกตลอดทั้งวัน และปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอีกหลังจากเฟดออกแถลงการณ์หลังการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน โดยไม่มีการปรับขึ้นดอกเบี้ยแต่อย่างใด นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสริมอื่นๆเช่น หุ้นจีนที่กลับมาเพิ่มขึ้น และราคาน้ำมันที่สูงขึ้นช่วยหนุนหุ้นของบริษัทในกลุ่มปิโตรเลียม
ทั้งนี้คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติในการประชุมเมื่อวานนี้ให้คงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 0-0.25% ต่อไป ขณะที่ระบุถึงความคืบหน้าในตลาดแรงงาน ซึ่งบ่งชี้ว่าเฟดยังคงเดินหน้าในความพยายามปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ย. หรือช่วงต่อไปในปีนี้
อย่างไรก็ดี เฟดไม่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงกำหนดเวลาในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุแต่เพียงว่าเฟดต้องการเห็นตลาดแรงงานปรับตัวดีขึ้นต่อไป และต้องการมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าอัตราเงินเฟ้อซึ่งอยู่ในระดับต่ำจะปรับตัวขึ้นสู่ระดับเป้าหมายที่ 2% ในระยะกลาง ก่อนที่จะดำเนินการขึ้นอัตราดอกเบี้ย
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดเพิ่มขึ้นเมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) หลังจากที่รายงานจากรัฐบาลสหรัฐแสดงให้เห็นว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐร่วงลงเกินคาดในสัปดาห์ที่แล้ว
สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น 81 เซนต์ ปิดที่ 48.79 ดอลลาร์/บาร์เรล
ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ย.ที่ตลาดลอนดอน ปรับตัวขึ้น 8 เซนต์ ปิดที่ 53.38 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยสต็อกน้ำมันดิบลดลง 4.2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 459.7 ล้านบาร์เรล ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าอยู่ในระดับทรงตัว สำหรับสต็อกน้ำมันดิบที่เมืองคุชชิ่ง รัฐโอกลาโฮมา ซึ่งเป็นจุดส่งมอบน้ำมัน ลดลง 212,000 บาร์เรล สู่ระดับ 57.7 ล้านบาร์เรล