นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส.มีมติเห็นชอบตามที่ฝ่ายจัดการเสนอขยายระยะเวลาและปรับปรุงหลักเกณฑ์โครงการแก้ไขหนี้นอกระบบให้กับเกษตรกรและบุคคลในครัวเรือน วงเงินกู้ 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการเดิมเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 และจะสิ้นสุดโครงการวันที่ 30 กันยายน 2558 โดยปัจจุบัน ธ.ก.ส.ได้จ่ายสินเชื่อไปแล้ว 33,405 ราย ต้นเงินกู้ 3,007 ล้านบาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารฯ เห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร โดยเฉพาะจากการสำรวจข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย พบว่ามีเกษตรกรที่เป็นหนี้นอกระบบที่นำเอกสารสิทธิ์ไปจำนองกับเจ้าหนี้นอกระบบ อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสสูญเสียที่ดินทำกิน จำนวน 92,945 ราย มูลหนี้รวม 13,429 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยร่วมดำเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างเร่งด่วน
สำหรับการพิจารณาขยายกรอบเวลาโครงการจากเดิมไปอีก 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 ถึง 30 กันยายน 2560 และเห็นชอบขยายวงเงินให้ความช่วยเหลือจากเดิม 100,000 บาทต่อราย เป็น 150,000 บาทต่อราย กรณีจำนองที่ดินเป็นหลักประกัน จะทำให้สงวนที่ดินทางการเกษตรไว้ให้กับเกษตรกรได้จำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ดำเนินโครงการธนาคารต้นไม้ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ตามแนวพระราชดำริ ปลูกป่า 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง ในที่ดินของตนเอง ที่ดินสาธารณประโยชน์ ส่งเสริมการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าของทรัพย์สินบนแผ่นดินจากมูลค่าของต้นไม้ พัฒนาประชาชนในชุมชนให้พออยู่ พอกิน พอใช้ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยส่งเสริมไปที่ชุมชน ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. 6,800 ชุมชน ปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 ล้านต้นต่อปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2558 ถึง 31 มีนาคม 2561
ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะออกผลิตภัณฑ์เงินฝาก ระยะเวลาฝากไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยขอรับการสนับสนุนจากส่วนงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ฝากเงินในโครงการ ซึ่งผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยในอัตราปกติ และ ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ของยอดเงินฝากที่รับฝากได้เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนดำเนินการปลูกต้นไม้ตามโครงการดังกล่าวต่อไป
ทั้งนี้ คณะกรรมการธนาคารฯ เห็นว่าโครงการนี้เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร โดยเฉพาะจากการสำรวจข้อมูลจากกระทรวงมหาดไทย พบว่ามีเกษตรกรที่เป็นหนี้นอกระบบที่นำเอกสารสิทธิ์ไปจำนองกับเจ้าหนี้นอกระบบ อยู่ในกลุ่มที่มีโอกาสสูญเสียที่ดินทำกิน จำนวน 92,945 ราย มูลหนี้รวม 13,429 ล้านบาท ซึ่งรัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยร่วมดำเนินการแก้ไขหนี้นอกระบบอย่างเร่งด่วน
สำหรับการพิจารณาขยายกรอบเวลาโครงการจากเดิมไปอีก 3 ปี โดยเริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2558 ถึง 30 กันยายน 2560 และเห็นชอบขยายวงเงินให้ความช่วยเหลือจากเดิม 100,000 บาทต่อราย เป็น 150,000 บาทต่อราย กรณีจำนองที่ดินเป็นหลักประกัน จะทำให้สงวนที่ดินทางการเกษตรไว้ให้กับเกษตรกรได้จำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้ดำเนินโครงการธนาคารต้นไม้ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนปลูกต้นไม้ตามแนวพระราชดำริ ปลูกป่า 3 อย่างได้ประโยชน์ 4 อย่าง ในที่ดินของตนเอง ที่ดินสาธารณประโยชน์ ส่งเสริมการอนุรักษ์และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าของทรัพย์สินบนแผ่นดินจากมูลค่าของต้นไม้ พัฒนาประชาชนในชุมชนให้พออยู่ พอกิน พอใช้ ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยส่งเสริมไปที่ชุมชน ศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. 6,800 ชุมชน ปลูกไม้ยืนต้นเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 2 ล้านต้นต่อปี เริ่มโครงการตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2558 ถึง 31 มีนาคม 2561
ทั้งนี้ ธ.ก.ส.จะออกผลิตภัณฑ์เงินฝาก ระยะเวลาฝากไม่น้อยกว่า 1 ปี โดยขอรับการสนับสนุนจากส่วนงานภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาชนทั่วไปที่มีส่วนรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ฝากเงินในโครงการ ซึ่งผู้ฝากเงินจะได้รับผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยในอัตราปกติ และ ธ.ก.ส.จะจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 ของยอดเงินฝากที่รับฝากได้เพื่อสนับสนุนให้ชุมชนดำเนินการปลูกต้นไม้ตามโครงการดังกล่าวต่อไป