พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยที่รับผิดชอบต่อการดำเนินโครงการจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด เดือนละ 400 บาท เร่งประชาสัมพันธ์ให้คุณแม่ตั้งครรภ์ในครอบครัวฐานะยากจน ได้รับทราบสิทธิ์ของตนเอง และมาเริ่มลงทะเบียนได้ขอใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายนนี้ ไม่ต้องรอจนคลอดทารก เพราะช่วงเวลาดังกล่าวควรให้คุณแม่ได้ใช้เวลาดูแลเอาใจใส่ลูกน้อยให้เต็มที่
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณมายังเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ทั้งสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทีมหมอครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเป็นหน่วยแรกในการดูแลคุณแม่และเด็กๆ ในโครงการนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยทบทวนขั้นตอนปฏิบัติให้ชัดเจน และให้บริการช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่ เพราะถือว่านี่คืองานสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติร่วมกัน เป็นภารกิจที่สำคัญ และมีความหมาย
โครงการอุดหนุนเด็กแรกเกิด โดยรัฐจ่ายเป็นสวัสดิการให้จำนวน 400 บาทต่อเดือน ไปจนอายุครบ 1 ขวบ สำหรับเด็กที่เกิดในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จนถึง 30 กันยายน 2559 ในครอบครัวยากจน มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กแรกเกิดได้เข้าถึงบริการสุขภาพ ได้รับการตรวจรักษาทางการแพทย์อย่างครบถ้วน และแบ่งเบาภาระทางการเงินของครอบครัวที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจน้อย โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณในเบื้องต้นสำหรับโครงการนี้ไว้ 600 ล้านบาท เมื่อครบระยะเวลาดำเนินโครงการจะมีการทบทวนประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของโครงการต่อไปว่าสมควรดำเนินการต่อในลักษณะใด หรือปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนใดหรือไม่
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากขอบคุณมายังเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติ ทั้งสำนักงานเขต กรุงเทพมหานคร องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และทีมหมอครอบครัวของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะเป็นหน่วยแรกในการดูแลคุณแม่และเด็กๆ ในโครงการนี้ ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกหน่วยทบทวนขั้นตอนปฏิบัติให้ชัดเจน และให้บริการช่วยเหลือดูแลอย่างเต็มที่ เพราะถือว่านี่คืองานสร้างทรัพยากรมนุษย์ของชาติร่วมกัน เป็นภารกิจที่สำคัญ และมีความหมาย
โครงการอุดหนุนเด็กแรกเกิด โดยรัฐจ่ายเป็นสวัสดิการให้จำนวน 400 บาทต่อเดือน ไปจนอายุครบ 1 ขวบ สำหรับเด็กที่เกิดในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2558 จนถึง 30 กันยายน 2559 ในครอบครัวยากจน มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เด็กแรกเกิดได้เข้าถึงบริการสุขภาพ ได้รับการตรวจรักษาทางการแพทย์อย่างครบถ้วน และแบ่งเบาภาระทางการเงินของครอบครัวที่มีความพร้อมทางเศรษฐกิจน้อย โดยคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติงบประมาณในเบื้องต้นสำหรับโครงการนี้ไว้ 600 ล้านบาท เมื่อครบระยะเวลาดำเนินโครงการจะมีการทบทวนประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของโครงการต่อไปว่าสมควรดำเนินการต่อในลักษณะใด หรือปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนใดหรือไม่
