นายประศักดิ์ บัณฑุนาค รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยถึงสถานการณ์การทรุดตัวของถนนคันคลองที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมทางหลวงชนบท ขณะนี้มีจำนวนทั้งสิ้น 36 สายทาง ระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร และมีจุดเสียหาย จำนวน 133 จุด และยังมีจุดที่มีความเสี่ยง เฝ้าระวังอีก จำนวน 4 จุด รวมถึงจุดที่เพิ่งทรุดตัว ยังไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ จำนวน 6 จุด จุดที่เพิ่งทรุดตัวแต่สามารถสัญจรได้ 1 เลน จำนวน 9 จุด และจุดที่ซ่อมแซมชั่วคราวซึ่งรถเล็กสามารถสัญจรผ่านได้ จำนวน 114 จุด
สำหรับสาเหตุของการทรุดตัว รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ถนนคันคลองทรงตัวอยู่ได้เนื่องจากแรงต้านของดินคันคลอง และแรงดันของน้ำในคลองชลประทาน ช่วยกันรับน้ำหนักคันทาง แต่เมื่อเกิดภัยแล้งน้ำแห้งขอดแรงดันของน้ำ ที่เคยพยุงถนนคันคลองหายไป ทำให้บางจุดมีแรงต้านของดินไม่เพียงพอ เกิดการทรุดตัวของถนน ขณะนี้กรมทางหลวงได้เร่งดำเนินการเร่งคืนผิวจราจรเป็นการชั่วคราวให้กับประชาชนภายใน 7 - 10 วัน โดยทำการขุดลอกถนนส่วนที่เสียหายออก 2 - 3 เมตร เพื่อลดน้ำหนักกดทับที่อาจทำให้ถนนทรุดตัวเพิ่มขึ้นได้ จากนั้นจึงปูผิวชั่วคราว ตลอดจนเร่งคืนผิวจราจรเป็นการถาวร โดยการเจาะสำรวจดินเพื่อนำมาออกแบบปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ถนนมีความมั่นคงแข็งแรงถาวร เช่น การใช้เสาเข็มเป็นการถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินแข็ง หรือใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
ขณะที่แนวทางการป้องกันกรณีถนนที่ยังไม่เกิดการทรุดตัว กรมทางหลวงชนบทได้ออกประกาศลดน้ำหนักรถบรรทุก 10 ล้อ ที่วิ่งผ่านคันคลองชลประทานจากเดิม 25 ตัน เหลือ 18 ตัน 56 สายทาง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมเร่งเจาะสำรวจดินของถนนที่อยู่ในความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นทุกสาย เพื่อออกแบบปรับปรุงป้องกันการเคลื่อนตัวของคันทาง และทำแผนปรับปรุงถนนต่าง ๆ พร้อมขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล ซึ่งในเบื้องต้นกรมได้ของบประมาณ 700 ล้านบาท ในการซ่อมแซมถนนที่มีการทรุดตัว และได้ขอรับงบประมาณในส่วนของการป้องกันถนนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเหตุทรุดตัวได้ในอนาคต จำนวน 150 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสำรวจวิเคราะห์ข้อมูลดิน และนำไปใช้ในการออกแบบถนนที่มีความเสี่ยง ระยะทาง 750 กิโลเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทรุดตัว และขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่อาศัยตามคันคลองชลประทาน ช่วยกันสอดส่องดูแลถนนว่ามีการแตกร้าวตามไหล่ทางหรือไม่ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ถนนอาจจะทรุดตัว โดยให้แจ้งไปที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146 ตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับสาเหตุของการทรุดตัว รองอธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ถนนคันคลองทรงตัวอยู่ได้เนื่องจากแรงต้านของดินคันคลอง และแรงดันของน้ำในคลองชลประทาน ช่วยกันรับน้ำหนักคันทาง แต่เมื่อเกิดภัยแล้งน้ำแห้งขอดแรงดันของน้ำ ที่เคยพยุงถนนคันคลองหายไป ทำให้บางจุดมีแรงต้านของดินไม่เพียงพอ เกิดการทรุดตัวของถนน ขณะนี้กรมทางหลวงได้เร่งดำเนินการเร่งคืนผิวจราจรเป็นการชั่วคราวให้กับประชาชนภายใน 7 - 10 วัน โดยทำการขุดลอกถนนส่วนที่เสียหายออก 2 - 3 เมตร เพื่อลดน้ำหนักกดทับที่อาจทำให้ถนนทรุดตัวเพิ่มขึ้นได้ จากนั้นจึงปูผิวชั่วคราว ตลอดจนเร่งคืนผิวจราจรเป็นการถาวร โดยการเจาะสำรวจดินเพื่อนำมาออกแบบปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ถนนมีความมั่นคงแข็งแรงถาวร เช่น การใช้เสาเข็มเป็นการถ่ายน้ำหนักลงสู่ชั้นดินแข็ง หรือใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่
ขณะที่แนวทางการป้องกันกรณีถนนที่ยังไม่เกิดการทรุดตัว กรมทางหลวงชนบทได้ออกประกาศลดน้ำหนักรถบรรทุก 10 ล้อ ที่วิ่งผ่านคันคลองชลประทานจากเดิม 25 ตัน เหลือ 18 ตัน 56 สายทาง มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมเร่งเจาะสำรวจดินของถนนที่อยู่ในความเสี่ยงดังกล่าวข้างต้นทุกสาย เพื่อออกแบบปรับปรุงป้องกันการเคลื่อนตัวของคันทาง และทำแผนปรับปรุงถนนต่าง ๆ พร้อมขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาล ซึ่งในเบื้องต้นกรมได้ของบประมาณ 700 ล้านบาท ในการซ่อมแซมถนนที่มีการทรุดตัว และได้ขอรับงบประมาณในส่วนของการป้องกันถนนที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดเหตุทรุดตัวได้ในอนาคต จำนวน 150 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสำรวจวิเคราะห์ข้อมูลดิน และนำไปใช้ในการออกแบบถนนที่มีความเสี่ยง ระยะทาง 750 กิโลเมตร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ทรุดตัว และขอความร่วมมือประชาชนที่อยู่อาศัยตามคันคลองชลประทาน ช่วยกันสอดส่องดูแลถนนว่ามีการแตกร้าวตามไหล่ทางหรือไม่ ซึ่งมีความเสี่ยงที่ถนนอาจจะทรุดตัว โดยให้แจ้งไปที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146 ตลอด 24 ชั่วโมง