อิหร่านและมหาอำนาจ 6 ชาติ สามารถทำความตกลงด้านนิวเคลียร์กันได้แล้วในวันอังคาร (14 ก.ค.) เป็นการปิดฉากการเจรจามาราธอนยาวนานกว่าทศวรรษ ด้วยข้อตกลงซึ่งน่าจะพลิกโฉมภูมิภาคตะวันออกกลาง
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่เป็นก้าวเดินไปสู่ “โลกที่มีความหวังเพิ่มมากขึ้น” ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน บอกว่า ความสำเร็จนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า “การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ได้ผล” อย่างไรก็ตาม อิสราเอลประกาศว่าจะยังคงทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อทำลายข้อตกลงนี้ซึ่งรัฐยิวระบุว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์”
ในสหรัฐฯนั้น ขั้นตอนจากนี้ไป ข้อตกลงนี้จะนำเข้าพิจารณาในรัฐสภา แต่โอบามายืนยันว่าเขาจะใช้อำนาจวีโต้ของเขาลบล้างมาตรการใดก็ตามที่จะมาสกัดกั้น
“การตกลงกันคราวนี้เป็นการเสนอโอกาสสำหรับการเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ” โอบามาบอก “พวกเราควรฉวยคว้าเอาไว้”
ภายใต้ข้อตกลงที่บรรลุกันคราวนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ จะถูกยกเลิก แลกกับการที่เตหะรานตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนลงเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งนี้ฝ่ายตะวันตกระแวงสงสัยว่า โครงการของอิหร่านนี้มีเป้าหมายในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานปฏิเสธมาตลอด
การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับโอบามา และสำหรับรูฮานี ที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อสองปีที่แล้วจากการให้คำมั่นลดการถูกโดดเดี่ยวทางการทูตต่ออิหร่าน ประเทศที่มีประชากร 77 ล้านคน
แต่ผู้นำทั้ง 2 ต่างเผชิญการต่อต้านจากนักการเมืองสายเหยี่ยวภายในประเทศ หลังจากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา 2 ชาติได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต่างขนานนามอีกฝ่ายหนึ่งเป็น “มหาซาตาน” และ “แกนอักษะปีศาจ”
ถึงแม้คู่เจรจาสำคัญคืออเมริกาและอิหร่าน แต่งานนี้ยังมีสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อีก 4 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย บวกด้วยเยอรมนี ร่วมหารือด้วย
ทันทีที่มีการประกาศข้อตกลงจากที่ประชุมเจรจาในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกมาวิจารณ์ทันควันว่า นี่เป็น “ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์สำหรับโลก” โดยระบุว่า เตหะรานจะได้เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์จากการยกเลิกมาตรการลงโทษ ทำให้สามารถสานต่อความก้าวร้าวรุกรานและการก่อการร้ายในตะวันออกกลางและทั่วโลก รวมถึงสานต่อโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ของสหรัฐฯ ออกมาแถลงยกย่องว่า นี่เป็นก้าวเดินไปสู่ “โลกที่มีความหวังเพิ่มมากขึ้น” ขณะที่ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน บอกว่า ความสำเร็จนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่า “การมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างสร้างสรรค์นั้นเป็นสิ่งที่ได้ผล” อย่างไรก็ตาม อิสราเอลประกาศว่าจะยังคงทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อทำลายข้อตกลงนี้ซึ่งรัฐยิวระบุว่าเป็น “การยอมจำนนครั้งประวัติศาสตร์”
ในสหรัฐฯนั้น ขั้นตอนจากนี้ไป ข้อตกลงนี้จะนำเข้าพิจารณาในรัฐสภา แต่โอบามายืนยันว่าเขาจะใช้อำนาจวีโต้ของเขาลบล้างมาตรการใดก็ตามที่จะมาสกัดกั้น
“การตกลงกันคราวนี้เป็นการเสนอโอกาสสำหรับการเคลื่อนไปในทิศทางใหม่ๆ” โอบามาบอก “พวกเราควรฉวยคว้าเอาไว้”
ภายใต้ข้อตกลงที่บรรลุกันคราวนี้ มาตรการลงโทษคว่ำบาตรอิหร่านทั้งของอเมริกา สหภาพยุโรป (อียู) และสหประชาชาติ จะถูกยกเลิก แลกกับการที่เตหะรานตกลงตัดทอนโครงการนิวเคลียร์ของตนลงเป็นระยะเวลายาวนาน ทั้งนี้ฝ่ายตะวันตกระแวงสงสัยว่า โครงการของอิหร่านนี้มีเป้าหมายในการสร้างระเบิดนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่เตหะรานปฏิเสธมาตลอด
การบรรลุข้อตกลงครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะสำคัญทั้งสำหรับโอบามา และสำหรับรูฮานี ที่ได้รับเลือกตั้งเมื่อสองปีที่แล้วจากการให้คำมั่นลดการถูกโดดเดี่ยวทางการทูตต่ออิหร่าน ประเทศที่มีประชากร 77 ล้านคน
แต่ผู้นำทั้ง 2 ต่างเผชิญการต่อต้านจากนักการเมืองสายเหยี่ยวภายในประเทศ หลังจากในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา 2 ชาติได้เป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต่างขนานนามอีกฝ่ายหนึ่งเป็น “มหาซาตาน” และ “แกนอักษะปีศาจ”
ถึงแม้คู่เจรจาสำคัญคืออเมริกาและอิหร่าน แต่งานนี้ยังมีสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ อีก 4 ชาติ ได้แก่ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และรัสเซีย บวกด้วยเยอรมนี ร่วมหารือด้วย
ทันทีที่มีการประกาศข้อตกลงจากที่ประชุมเจรจาในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล ออกมาวิจารณ์ทันควันว่า นี่เป็น “ความผิดพลาดครั้งประวัติศาสตร์สำหรับโลก” โดยระบุว่า เตหะรานจะได้เงินหลายพันหลายหมื่นล้านดอลลาร์จากการยกเลิกมาตรการลงโทษ ทำให้สามารถสานต่อความก้าวร้าวรุกรานและการก่อการร้ายในตะวันออกกลางและทั่วโลก รวมถึงสานต่อโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์