น.พ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายดูแลสุขภาพประชาชนทุกวัย ทุกอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรมีปัญหาที่น่าห่วงที่สุด จากความเสี่ยงใช้วัตถุเคมีทางการเกษตรในการเพิ่มผลผลิตหรือกำจัดศัตรูพืช สอดคล้องข้อมูลล่าสุดในปี 2555 ไทยนำเข้าสารเคมีเหล่านี้ 134 ล้านกว่ากิโลกรัม สารเคมีที่นำเข้ามากที่สุดคือ สารกำจัดวัชพืช สารกำจัดแมลง สารป้องกันและกำจัดโรคพืช โดยสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข รายงานจำนวนผู้ป่วยจากพิษสารเคมีกำจัดศัตรูพืชว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ จากปี 2553 มีผู้ป่วย 1,851 ราย เพิ่มเป็น 8,066 รายในปี 2555 เวลาเพียง 2 ปีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงกว่า 4 เท่าตัว
ทั้งนี้ผลกระทบต่อสุขภาพจากใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในระยะเฉียบพลัน เช่น แสบตา แสบมือ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ท้องเสีย แน่นหน้าอก หายใจขัด และผลระยะยาว ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคผิวหนังเรื้อรัง อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมันหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ในปี 2558 นี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการป้องกันผลกระทบสุขภาพเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มอบสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังตรวจคัดกรองสุขภาพเกษตรกรที่ใช้สารกำจัดศัตรูพืช หากพบว่าผิดปกติ รีบให้คำแนะนำการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยทันท่วงที ไม่ต้องรอให้มีอาการป่วยก่อน พร้อมตั้งคลินิกสุขภาพเกษตรกรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งเป็นสถานที่คุ้นเคย อยู่ใกล้ เข้าถึงสะดวก เพื่อดูแลสุขภาพเกษตรกรร่วมกับผู้นำชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดความเสี่ยงเกิดโรคในกลุ่มเกษตรกรให้ได้มากที่สุด ในปี 2557 เปิดบริการแล้วร้อยละ 19 จะเร่งขยายให้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรทุกแห่ง
ทั้งนี้ผลกระทบต่อสุขภาพจากใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในระยะเฉียบพลัน เช่น แสบตา แสบมือ ตาพร่ามัว ปวดศีรษะและกล้ามเนื้อ คลื่นไส้ ท้องเสีย แน่นหน้าอก หายใจขัด และผลระยะยาว ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคผิวหนังเรื้อรัง อาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหมันหรือเสื่อมสมรรถภาพทางเพศได้ ในปี 2558 นี้ กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายในการป้องกันผลกระทบสุขภาพเกษตรกรทั่วประเทศ ได้มอบสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค เฝ้าระวังตรวจคัดกรองสุขภาพเกษตรกรที่ใช้สารกำจัดศัตรูพืช หากพบว่าผิดปกติ รีบให้คำแนะนำการใช้สารเคมีอย่างปลอดภัยทันท่วงที ไม่ต้องรอให้มีอาการป่วยก่อน พร้อมตั้งคลินิกสุขภาพเกษตรกรในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ซึ่งเป็นสถานที่คุ้นเคย อยู่ใกล้ เข้าถึงสะดวก เพื่อดูแลสุขภาพเกษตรกรร่วมกับผู้นำชุมชนและหน่วยงานท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งในชุมชน ลดความเสี่ยงเกิดโรคในกลุ่มเกษตรกรให้ได้มากที่สุด ในปี 2557 เปิดบริการแล้วร้อยละ 19 จะเร่งขยายให้ครอบคลุมพื้นที่ทำการเกษตรทุกแห่ง