ประธานาธิบดีอินโดนีเซียให้สัญญาในวันพุธ (1 ก.ค.) ว่าจะพิจารณายกเลิกการใช้ฝูงเครื่องบินทหารรุ่นเก๋ากึ๊ก อีกทั้งปรับปรุงยกเครื่องกองทัพให้ทันสมัย ภายหลังเกิดเหตุเครื่องบินขนส่ง ซี-130 บี เฮอร์คิวลิส ที่ใช้งานมากว่า 50 ปีตกลงกลางชุมนุมชนบนเกาะสุมาตราเมื่อวันอังคาร (30 มิ.ย.) ทำให้มีผู้สังเวยชีวิตไปมากกว่า 140 ราย ขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการทหารอากาศแดนอิเหนาประกาศสอบสวนกรณีที่สื่อรายงานว่า มีการแอบขายตั๋วให้ประชาชนทั่วไปโดยสารเครื่องบินทหาร
เครื่องบินขนส่งทหารลำดังกล่าวซึ่งเข้าประจำการมานานถึง 51 ปี ได้ตกลงกลางย่านที่อยู่อาศัยในเมืองเมดาน บนเกาะสุมาตรา ในวันอังคาร (30) หลังทะยานขึ้นจากสนามบินของฐานทัพอากาศในเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอินโดนีเซียแห่งนี้ได้เพียง 2 นาที โดยผู้อยู่บนเครื่องบินทั้งสิ้น 122 คน ไม่มีใครรอดชีวิตเลย
โฆษกกองทัพอินโดนีเซียแถลงในวันพุธว่า มีผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้ว 135 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ที่อยู่บนเครื่องทั้งหมด ทางด้านสถานีข่าวเมโทรทีวีรายงานว่า มีการนำร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 141 รายส่งโรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุ ในจำนวนนี้มี 20 รายที่เสียชีวิตบนพื้นดิน ส่วนตัวเลขของตำรวจระบุที่ 142 ราย
ขณะที่ อีดี รอห์มายาดาอี ผู้บัญชาการกองทัพประจำภูมิภาคเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (1) ว่า การปฏิบัติการกู้ภัยซึ่งใช้กำลังทหารและตำรวจจำนวนหลายร้อยคน เป็นอันยุติลงแล้ว
สื่อแดนอิเหนายังพากันรายงานข่าวโดยอ้างอิงคำบอกเล่าของญาติๆ ผู้เสียชีวิตว่า ผู้โดยสารบางคนซึ่งเป็นพลเรือน ได้จ่ายเงินซื้อตั๋วเพื่อขึ้นเครื่องบินลำดังกล่าว
ทางด้านสำนักข่าวเอพีรายงานว่า จากรายชื่อผู้โดยสารในเครื่องบินลำนี้ พบว่ามีผู้โดยสาร 32 คนที่ไม่มีการระบุชื่อหรือสังกัด ส่วนที่เหลือถูกระบุว่าเป็นทหารหรือเป็นสมาชิกในครอบครัวทหาร
สำหรับประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ได้ทวิตในคืนวันอังคารว่า จะต้องมีการพิจารณาประเมินค่าพวกเครื่องบินและระบบด้านกลาโหมที่เก่าแก่ใช้งานมานานแล้ว
ต่อมาในวันพุธ เขาออกมาแถลงว่า ได้สั่งการให้มีการสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ในเชิงลึก รวมทั้งสั่งการให้รัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพดำเนินการ “ยกเครื่องกันตั้งแต่รากฐาน” ในเรื่องการบริหารจัดการอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ
“เราไม่อาจทำเพียงแค่หาซื้ออาวุธเข้ามาเท่านั้น แต่ควรต้องคิดที่จะปรับปรุงระบบอาวุธของเราให้ทันสมัย” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว “เราจะต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เริ่มต้นการออกแบบ การผลิต การใช้งาน การฝึกอบรม การซ่อมบำรุง และการกำจัดอาวุธที่หมดอายุใช้งานแล้ว”
เครื่องบินขนส่งทหารลำดังกล่าวซึ่งเข้าประจำการมานานถึง 51 ปี ได้ตกลงกลางย่านที่อยู่อาศัยในเมืองเมดาน บนเกาะสุมาตรา ในวันอังคาร (30) หลังทะยานขึ้นจากสนามบินของฐานทัพอากาศในเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอินโดนีเซียแห่งนี้ได้เพียง 2 นาที โดยผู้อยู่บนเครื่องบินทั้งสิ้น 122 คน ไม่มีใครรอดชีวิตเลย
โฆษกกองทัพอินโดนีเซียแถลงในวันพุธว่า มีผู้เสียชีวิตที่ได้รับการยืนยันแล้ว 135 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ที่อยู่บนเครื่องทั้งหมด ทางด้านสถานีข่าวเมโทรทีวีรายงานว่า มีการนำร่างผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 141 รายส่งโรงพยาบาลใกล้ที่เกิดเหตุ ในจำนวนนี้มี 20 รายที่เสียชีวิตบนพื้นดิน ส่วนตัวเลขของตำรวจระบุที่ 142 ราย
ขณะที่ อีดี รอห์มายาดาอี ผู้บัญชาการกองทัพประจำภูมิภาคเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันพุธ (1) ว่า การปฏิบัติการกู้ภัยซึ่งใช้กำลังทหารและตำรวจจำนวนหลายร้อยคน เป็นอันยุติลงแล้ว
สื่อแดนอิเหนายังพากันรายงานข่าวโดยอ้างอิงคำบอกเล่าของญาติๆ ผู้เสียชีวิตว่า ผู้โดยสารบางคนซึ่งเป็นพลเรือน ได้จ่ายเงินซื้อตั๋วเพื่อขึ้นเครื่องบินลำดังกล่าว
ทางด้านสำนักข่าวเอพีรายงานว่า จากรายชื่อผู้โดยสารในเครื่องบินลำนี้ พบว่ามีผู้โดยสาร 32 คนที่ไม่มีการระบุชื่อหรือสังกัด ส่วนที่เหลือถูกระบุว่าเป็นทหารหรือเป็นสมาชิกในครอบครัวทหาร
สำหรับประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ได้ทวิตในคืนวันอังคารว่า จะต้องมีการพิจารณาประเมินค่าพวกเครื่องบินและระบบด้านกลาโหมที่เก่าแก่ใช้งานมานานแล้ว
ต่อมาในวันพุธ เขาออกมาแถลงว่า ได้สั่งการให้มีการสอบสวนสาเหตุของอุบัติเหตุครั้งนี้ในเชิงลึก รวมทั้งสั่งการให้รัฐมนตรีกลาโหมและผู้บัญชาการกองทัพดำเนินการ “ยกเครื่องกันตั้งแต่รากฐาน” ในเรื่องการบริหารจัดการอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ
“เราไม่อาจทำเพียงแค่หาซื้ออาวุธเข้ามาเท่านั้น แต่ควรต้องคิดที่จะปรับปรุงระบบอาวุธของเราให้ทันสมัย” เขากล่าวกับผู้สื่อข่าว “เราจะต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เริ่มต้นการออกแบบ การผลิต การใช้งาน การฝึกอบรม การซ่อมบำรุง และการกำจัดอาวุธที่หมดอายุใช้งานแล้ว”