พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีสหภาพยุโรป (อียู) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (UNHCR) เรียกร้องให้ปล่อยตัวนักศึกษาที่ถูกจับกุม ว่า ปัจจุบันเป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมาย เจ้าหน้าที่พยายามรักษาให้เป็นบรรทัดฐานเดียวกันของบุคคลในทุกสถานะ โดยพิจารณาใช้กับกรณีนักศึกษาอย่างเหมาะสม โดยเจ้าหน้าที่พยายามอะลุ้มอล่วยอย่างเปิดเผย เพราะเข้าใจถึงสถานะและวุฒิภาวะ โดยเริ่มจากการว่ากล่าวตักเตือน และการขอความร่วมมือเป็นหลักปฏิบัติไปแล้ว ส่วนในทางคดีเป็นเรื่องของดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีอาญาด้านความมั่นคง อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการตั้งข้อกล่าวหา ผู้ถูกล่าวหายังสามารถไปแก้ต่างกันได้ตามเหตุผลและตามพยานหลักฐานข้อเท็จจริงได้ตามช่องทางกระบวนการ ซึ่งเป็นไปตามหลักสากลทั่วไป
ในส่วนของข้อกังวลหรือข้อเรียกร้องของกลุ่มหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม คงต้องพิจารณาด้วยว่าขัดต่อแนวทางของการรักษากฎหมายหรือไม่ สำหรับข้อกังวลในเรื่องที่จะมีการฟ้องคดีกับศาลทหารนั้น ปัจจุบันนี้มีเพียง 3-4 ฐานความผิดที่จำเป็นต่อการรักษาชีวิตความสงบสุขของประชาชน หรือมีผลกระทบความมั่นคง รวมถึงความผิดที่เกี่ยวพันโดยตรงกับความไม่สงบเรียบร้อยของประเทศในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น ส่วนข้อกังวลของบทลงโทษที่ได้รับยาวนานเกินไปจากการใช้เสรีภาพนั้น อาจมีข้อมูลไม่ครบ คงต้องดูเป็นกรณีๆ ไปว่าการใช้เสรีภาพนั้นๆ ขัดต่อกฎหมายหรือไม่
กรณีโทษที่ได้รับจากกรณีฝ่าฝืนประกาศคำสั่ง คสช.ที่ว่าห้ามชุมนุม สุดท้ายจะมีโทษปรับกับโทษจำคุกเพียงไม่กี่เดือน แต่ถ้าถูกมองว่าเข้าข่ายความผิดในคดีอาญาด้านความมั่นคงจริง บทลงโทษคงรุนแรงกว่า แต่ก็เป็นบทลงโทษที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญาเดิมอยู่แล้ว ส่วนข้อกังวลในเรื่องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถกระทำได้ภายใต้ช่องทางที่เหมาะสมอยู่แล้ว ช่วงนี้อาจยังมีบางส่วนที่มีเจตนาแอบแฝง พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เองทราบดีจึงพยายามดำเนินการต่างๆ อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาด้วยความระมัดระวัง
พ.อ.วินธัย กล่าวยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความจำเป็นของสถานการณ์ทุกประการ เพื่อให้สังคมประเทศชาติเกิดความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความสุข ไม่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์เช่นในอดีต
ในส่วนของข้อกังวลหรือข้อเรียกร้องของกลุ่มหรือองค์กรใดๆ ก็ตาม คงต้องพิจารณาด้วยว่าขัดต่อแนวทางของการรักษากฎหมายหรือไม่ สำหรับข้อกังวลในเรื่องที่จะมีการฟ้องคดีกับศาลทหารนั้น ปัจจุบันนี้มีเพียง 3-4 ฐานความผิดที่จำเป็นต่อการรักษาชีวิตความสงบสุขของประชาชน หรือมีผลกระทบความมั่นคง รวมถึงความผิดที่เกี่ยวพันโดยตรงกับความไม่สงบเรียบร้อยของประเทศในช่วงที่ผ่านมาเท่านั้น ส่วนข้อกังวลของบทลงโทษที่ได้รับยาวนานเกินไปจากการใช้เสรีภาพนั้น อาจมีข้อมูลไม่ครบ คงต้องดูเป็นกรณีๆ ไปว่าการใช้เสรีภาพนั้นๆ ขัดต่อกฎหมายหรือไม่
กรณีโทษที่ได้รับจากกรณีฝ่าฝืนประกาศคำสั่ง คสช.ที่ว่าห้ามชุมนุม สุดท้ายจะมีโทษปรับกับโทษจำคุกเพียงไม่กี่เดือน แต่ถ้าถูกมองว่าเข้าข่ายความผิดในคดีอาญาด้านความมั่นคงจริง บทลงโทษคงรุนแรงกว่า แต่ก็เป็นบทลงโทษที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายอาญาเดิมอยู่แล้ว ส่วนข้อกังวลในเรื่องการแสดงความคิดเห็นก็สามารถกระทำได้ภายใต้ช่องทางที่เหมาะสมอยู่แล้ว ช่วงนี้อาจยังมีบางส่วนที่มีเจตนาแอบแฝง พยายามสร้างเงื่อนไขเพื่อให้สถานการณ์พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งให้มากขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่เองทราบดีจึงพยายามดำเนินการต่างๆ อย่างเปิดเผย ตรงไปตรงมาด้วยความระมัดระวัง
พ.อ.วินธัย กล่าวยืนยันว่า การดำเนินการใดๆ ของภาครัฐเป็นไปอย่างมีเหตุมีผล สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและความจำเป็นของสถานการณ์ทุกประการ เพื่อให้สังคมประเทศชาติเกิดความสงบเรียบร้อย ประชาชนมีความสุข ไม่เกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์เช่นในอดีต