รายงานข่าวแจ้งว่า กลุ่มไอเอสประกาศว่า อยู่เบื้องหลังเหตุก่อการร้ายในตูนิเซีย โดยสมาชิกกลุ่มไอเอสแฝงตัวในคราบนักท่องเที่ยวและซ่อนปืนไว้ในร่มชายหาด แล้วกราดยิงนักท่องเที่ยวที่โรงแรมอิมพีเรียล มาร์ฮาบา ในเมืองซูสซี ซึ่งเป็นเมืองตากอากาศริมทะเลที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ
นายฮาบิบ เอสสิด นายกรัฐมนตรีตูนิเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 38 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ซึ่งปรับลดจำนวนผู้เสียชีวิตลง จากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขตูนิเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 39 คน
ด้านโฆษกกระทรวงมหาดไทยตูนิเซีย เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุถูกตำรวจยิงเสียชีวิต เป็นนักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาโท ด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อ
ขณะที่ ประธานาธิบดีเบจิ คาอิด เอสเซบซี ผู้นำตูนิเซีย เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว พร้อมประกาศว่า ประเทศกำลังทำสงครามกับการก่อการร้าย ซึ่งไม่ใช่สงครามที่สร้างความวิตกให้กับตำรวจและทหาร ที่มักจะตกเป็นเป้าการโจมตีเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่คุกคามชาวตูนิเซียทั้งชาติ
นอกจากเหตุสะเทือนขวัญในตูนิเซียแล้ว ก็ยังเกิดเหตุวินาศกรรมในลักษณะเดียวกัน ในประเทศคูเวต และฝรั่งเศส โดยในคูเวต มือระเบิดฆ่าตัวตายก่อเหตุโจมตีมัสยิดของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงคูเวต ซิตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 25 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 202 คน โดยกลุ่มไอเอสอ้างว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนก่อเหตุโจมตีที่รุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอน
ส่วนที่ฝรั่งเศส เกิดเหตุโจมตีโรงงานผลิตแก๊สของชาวอเมริกันใกล้เมืองลียง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 2 คน ในที่เกิดตำรวจพบศพถูกฆ่าตัดคอและมีข้อความภาษาอาหรับทิ้่งไว้ นอกจากนี้ยังควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ 1 คน ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับกลุ่มหัวรุนแรง
นายจอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ ประณามโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส คูเวต และตูนิเซีย ซึ่งกำลังสอบสวนทั้งสามเหตุการณ์อยู่ แต่ไม่เชื่อว่าเหตุวินาศกรรมทั้งสามที่เกิดขึ้นต่างภูมิภาคกัน จะมีความเกี่ยวโยงกัน พร้อมทั้งแสดงความเสียใจแด่ญาติผู้เสียชีวิต
ด้าน นางเฮเลน บอลล์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า อังกฤษใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง หลังเกิดเหตุวินาศกรรมใน 3 ประเทศ และจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานที่สาธารณะด้วย
ขณะที่นายฟิลิป แฮมมอน รมว.ต่างประเทศอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษมีกงสุลอยู่ที่เมืองซูสซี และได้ประสานกับทางการของตูนิเซียให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เกิดเหตุ
ส่วนนายโทนี่ แอ็บบ็อต นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ประณามเหตุก่อการร้ายดังกล่าว และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต
ทั้งนี้ในวันเดียวกัน นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศตูนิเซียทันที หลังเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงนักท่องเที่ยวที่ชายหาดฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน บาดเจ็บ 36 คน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นชาวอังกฤษ 8 คน ชาวเบลเยี่ยมและชาวเยอรมันประเทศละ 1 คน
ขณะที่โรงแรมอิมพีเรียล มาร์ฮาบา ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมหรูในเมืองที่เกิดเหตุโจมตี ได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ดีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนยืนยันที่จะอยู่ท่องเที่ยวในตูนิเซียต่อไป นายกรัฐมนตรีฮาบิบ เอสซิด ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดให้นักท่องเที่ยวประจำการอยู่ตลอดแนวชายหาดและภายในโรงแรม
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุนายโมฮัมเหม็ด เอ็นนาเซอร์ ประธานาธิบดีของตูนิเซีย ลงพื้นที่และเดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ตูนิเซียจะต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายซึ่งกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่กำลังจะผ่านสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้
นายฮาบิบ เอสสิด นายกรัฐมนตรีตูนิเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 38 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวอังกฤษ ซึ่งปรับลดจำนวนผู้เสียชีวิตลง จากที่ก่อนหน้านี้กระทรวงสาธารณสุขตูนิเซีย ระบุว่า มีผู้เสียชีวิต 39 คน
ด้านโฆษกกระทรวงมหาดไทยตูนิเซีย เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุถูกตำรวจยิงเสียชีวิต เป็นนักศึกษาที่กำลังจะรับปริญญาโท ด้านวิศวกรรมศาสตร์ แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อ
ขณะที่ ประธานาธิบดีเบจิ คาอิด เอสเซบซี ผู้นำตูนิเซีย เดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุดังกล่าว พร้อมประกาศว่า ประเทศกำลังทำสงครามกับการก่อการร้าย ซึ่งไม่ใช่สงครามที่สร้างความวิตกให้กับตำรวจและทหาร ที่มักจะตกเป็นเป้าการโจมตีเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่คุกคามชาวตูนิเซียทั้งชาติ
นอกจากเหตุสะเทือนขวัญในตูนิเซียแล้ว ก็ยังเกิดเหตุวินาศกรรมในลักษณะเดียวกัน ในประเทศคูเวต และฝรั่งเศส โดยในคูเวต มือระเบิดฆ่าตัวตายก่อเหตุโจมตีมัสยิดของชาวมุสลิมนิกายชีอะห์ในกรุงคูเวต ซิตี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 25 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 202 คน โดยกลุ่มไอเอสอ้างว่า เป็นผู้อยู่เบื้องหลังและเรียกร้องให้ผู้สนับสนุนก่อเหตุโจมตีที่รุนแรงยิ่งขึ้นในช่วงเดือนรอมฎอน
ส่วนที่ฝรั่งเศส เกิดเหตุโจมตีโรงงานผลิตแก๊สของชาวอเมริกันใกล้เมืองลียง ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 คนและได้รับบาดเจ็บอีก 2 คน ในที่เกิดตำรวจพบศพถูกฆ่าตัดคอและมีข้อความภาษาอาหรับทิ้่งไว้ นอกจากนี้ยังควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไว้ได้ 1 คน ซึ่งมีประวัติเกี่ยวพันกับกลุ่มหัวรุนแรง
นายจอห์น เคอร์บี้ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐฯ ประกาศว่า สหรัฐฯ ประณามโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส คูเวต และตูนิเซีย ซึ่งกำลังสอบสวนทั้งสามเหตุการณ์อยู่ แต่ไม่เชื่อว่าเหตุวินาศกรรมทั้งสามที่เกิดขึ้นต่างภูมิภาคกัน จะมีความเกี่ยวโยงกัน พร้อมทั้งแสดงความเสียใจแด่ญาติผู้เสียชีวิต
ด้าน นางเฮเลน บอลล์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติของอังกฤษ เปิดเผยว่า อังกฤษใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยในระดับสูง หลังเกิดเหตุวินาศกรรมใน 3 ประเทศ และจะเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานที่สาธารณะด้วย
ขณะที่นายฟิลิป แฮมมอน รมว.ต่างประเทศอังกฤษ กล่าวว่า อังกฤษมีกงสุลอยู่ที่เมืองซูสซี และได้ประสานกับทางการของตูนิเซียให้เพิ่มการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่เกิดเหตุ
ส่วนนายโทนี่ แอ็บบ็อต นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ประณามเหตุก่อการร้ายดังกล่าว และแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต
ทั้งนี้ในวันเดียวกัน นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศตูนิเซียทันที หลังเกิดเหตุคนร้ายกราดยิงนักท่องเที่ยวที่ชายหาดฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทำให้มีผู้เสียชีวิต 38 คน บาดเจ็บ 36 คน ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นชาวอังกฤษ 8 คน ชาวเบลเยี่ยมและชาวเยอรมันประเทศละ 1 คน
ขณะที่โรงแรมอิมพีเรียล มาร์ฮาบา ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงแรมหรูในเมืองที่เกิดเหตุโจมตี ได้ยกระดับการรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ดีมีนักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนยืนยันที่จะอยู่ท่องเที่ยวในตูนิเซียต่อไป นายกรัฐมนตรีฮาบิบ เอสซิด ประกาศว่า ตั้งแต่เดือนหน้าเป็นต้นไป จะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดให้นักท่องเที่ยวประจำการอยู่ตลอดแนวชายหาดและภายในโรงแรม
อย่างไรก็ตามหลังเกิดเหตุนายโมฮัมเหม็ด เอ็นนาเซอร์ ประธานาธิบดีของตูนิเซีย ลงพื้นที่และเดินทางไปเยี่ยมผู้บาดเจ็บที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ตูนิเซียจะต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายซึ่งกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายฉบับใหม่กำลังจะผ่านสภาในวันที่ 25 ก.ค.นี้