วันนี้ (22 มิ.ย.) ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีดำ อ.3597/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา อายุ 69 ปี อดีตผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และนายคัมภีร์ สมใจ อายุ 69 ปี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานบริหารและพัฒนาทรัพยากรบุคคล สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าทีโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2546 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และทุจริต ด้วยการให้จำเลยที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ และคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2546 ตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ 102/2546 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2546 รวมทั้งทำเรื่องเสนอจำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนา เรื่อง "สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา" วันที่ 31 ตุลาคม 2546 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่าวันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในช่วงวันดังกล่าว และให้บุคคลที่จะถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินมีรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอยู่ด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินทางและค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนของการจัดสัมมนาก็ไม่มีการจัดสัมมนาอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ต่อมานายพีรไสว รัตนเอกวาที รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทำการไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายหมายอาญา มาตรา 83 และ 157
วันนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้เดินทางมาศาล เนื่องจากศาลได้อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลย โดยอัยการโจทก์แถลง ขอนำพยานเข้าเบิกความ 44 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยที่ 1 จะนำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก ส่วนทนายจำเลยที่ 2 เตรียมนำพยานบุคคลเข้าเบิกความ 20 ปาก ประกอบด้วยจำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่เดินทางเข้าร่วมสัมมนา 19 ราย แต่ติดใจจะสืบพยานในกลุ่มนี้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน 6 ปาก
ศาลพิเคราะห์ข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายแล้ว อนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าเบิกความ 15 ปาก กำหนดนัดไต่สวน 5 นัด และให้จำเลยที่ 1 นำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก ใช้เวลาสืบพยาน 2 นัด ส่วนจำเลยที่2 ให้นำพยานเข้าเบิกความ 7 ปาก กำหนดนัดสืบพยาน 2 นัด โดยให้สืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 7 สิงหาคมนี้ เวลา 09.00 น. อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้งคู่ความมีความพร้อมและไม่เลื่อนนัดอีก อันจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย จึงให้นัดประชุมคดีและตรวจความพร้อมพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เวลา 09.00 น.
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 1 สิงหาคม - 31 ตุลาคม 2546 จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสมรู้ร่วมคิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ และทุจริต ด้วยการให้จำเลยที่ 2 ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการ และคณะอนุกรรมการดำเนินการถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พ.ศ. 2546 ตามคำสั่งของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่ 102/2546 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2546 รวมทั้งทำเรื่องเสนอจำเลยที่ 1 เพื่ออนุมัติโครงการสัมมนา เรื่อง "สตง.ในความคิดเห็นของสมาชิกวุฒิสภา" วันที่ 31 ตุลาคม 2546 ที่โรงแรมซิตี้ ปาร์ค อ.เมือง จ.น่าน ทั้งที่จำเลยทั้งสองทราบดีว่าวันดังกล่าว สตง.มีการจัดถวายผ้าพระกฐิน ณ วัดพญาภู และวัดพระธาตุช้างดำวรวิหาร อ.เมือง จ.น่าน แต่จำเลยทั้งสองกลับจัดสัมมนาในช่วงวันดังกล่าว และให้บุคคลที่จะถวายผ้าพระกฐิน รวมทั้งวางแผนนำรายชื่อเจ้าหน้าที่ สตง.ที่เข้าร่วมถวายผ้าพระกฐินมีรายชื่อเป็นผู้เข้าร่วมสัมมนารวมอยู่ด้วย โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายการเดินทางและค่าที่พักในการถวายผ้าพระกฐิน อันเป็นการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วยกฎหมาย ในส่วนของการจัดสัมมนาก็ไม่มีการจัดสัมมนาอย่างแท้จริง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการอำพรางนำเงินงบประมาณจำนวน 294,440 บาท มาเพื่อประโยชน์ของตนเองและผู้อื่นโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ
ต่อมานายพีรไสว รัตนเอกวาที รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ได้มีหนังสือกล่าวโทษจำเลยทั้งสองต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทำการไต่สวนและแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายหมายอาญา มาตรา 83 และ 157
วันนี้จำเลยทั้งสองไม่ได้เดินทางมาศาล เนื่องจากศาลได้อนุญาตให้สืบพยานลับหลังจำเลย โดยอัยการโจทก์แถลง ขอนำพยานเข้าเบิกความ 44 ปาก ขณะที่ทนายจำเลยที่ 1 จะนำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก ส่วนทนายจำเลยที่ 2 เตรียมนำพยานบุคคลเข้าเบิกความ 20 ปาก ประกอบด้วยจำเลยที่ 2 และเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินที่เดินทางเข้าร่วมสัมมนา 19 ราย แต่ติดใจจะสืบพยานในกลุ่มนี้ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน 6 ปาก
ศาลพิเคราะห์ข้อโต้แย้งของทั้งสองฝ่ายแล้ว อนุญาตให้โจทก์นำพยานเข้าเบิกความ 15 ปาก กำหนดนัดไต่สวน 5 นัด และให้จำเลยที่ 1 นำพยานเข้าเบิกความ 4 ปาก ใช้เวลาสืบพยาน 2 นัด ส่วนจำเลยที่2 ให้นำพยานเข้าเบิกความ 7 ปาก กำหนดนัดสืบพยาน 2 นัด โดยให้สืบพยานโจทก์ครั้งแรกวันที่ 7 สิงหาคมนี้ เวลา 09.00 น. อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ทั้งคู่ความมีความพร้อมและไม่เลื่อนนัดอีก อันจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย จึงให้นัดประชุมคดีและตรวจความพร้อมพยานหลักฐานก่อนวันนัดไต่สวนในวันที่ 14 กรกฎาคม 2558 เวลา 09.00 น.