วันนี้ (22มิ.ย.) สภาพัฒนาการเมือง ออกแถลงการณ์คัดค้านการเปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย โดยนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง พร้อมสมาชิก ร่วมกันอ่านแถลงการณ์ระบุว่า
กาสิโนเป็นส่วนของการพนันซึ่งเป็นอบายมุขอันควรหลีกเลี่ยง ไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในทุกศาสนา การพนันถือเป็นอบายมุข เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสื่อม นำไปสู่ความฉิบหาย สร้างปัญหาทางสังคม ทำให้ภูมิคุ้มกันด้านต่างๆ ของประเทศโดยรวมลดลง เงินหมุนเวียนในกาสิโนไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของเจ้าของเงินจากผู้เล่นพนันเสียไปยังผู้เล่นพนันได้ จำนวนเงินรวมเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มผลิตผลหรือรายได้ให้แก่ระบบเศรษบกิจโดยรวม หากเจ้าของกาสิโนเป็นคนต่างชาติ เงินรายได้จะถูกส่งออกไปนอกประเทศ กาสิโนยังอาจถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน ผู้ที่ได้เงินมาโดยทุจริตสามารถใช้กาสิโนเป็นช่องทางในการฟอกเงินได้ หากเจ้าของกาสิโนให้ความร่วมมือ ทำให้การป้องกันปราบปรามการทุจริตเป็นไปได้ยาก ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพากาสิโน
สภาพัฒนาการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ.2551 โดยมีบทบาทอำนาจหน้าที่ประการหนึ่งตามมาตรา 6 (3) ข้อ (ก) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ในการส่งเสริมการพัฒนาศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม จึงขอแถลงให้สังคมได้รับทราบดังนี้
1. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเคยเลิกบ่อนเบี้ยซึ่งเป็นบ่อนการพนันในลักษณะคล้ายกับกาสิโนมาแล้ว เนื่องจากทรงเห็นโทษของบ่อนเบี้ยต่อราษฎรและประเทศของพระองค์ ในอดีตประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันในลักษณะคล้ายกับกาสิโนที่ถูกกฎหมายซึ่งเรียกว่า "บ่อนเบี้ย" มาแล้ว โดยมีการกำหนดให้เก็บอากรที่เรียกว่า "เก็บหัวเบี้ย" ซึ่งผู้ได้รับอนุญาตเปิดบ่อนเบี้ยที่เรียกว่า "นายอากรบ่อนเบี้ย" เป็นผู้เก็บอากรดังกล่าวส่งให้รัฐ แต่เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า
"แม้ถึงว่าจะได้ผลประโยชน์มาใช้จ่ายในราชการแผ่นดินเป็นเงินรายได้อันสำคัญของรัฐบาลประเภทหนึ่งก็จริง แต่ย่อมกระทำให้น้ำใจอาณาประชาราษฎรฝั้นเฝือดำเนินไปในทางต่ำช้าเลวทราม ใช่แต่เป็นที่เสื่อมเสียทรัพย์สมบัติของนักเลงผู้เล่นส่วนเดียว ย่อมเป็นทางอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย และความมัวเมาในการเล่นพนันย่อมขัดห้ามต่อเวลาที่จะพึงทำการให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ด้วย อีกประการหนึ่งการพนันบ่อนเบี้ยในเวลานี้ เงินที่ตกไปในมือนายอากรผู้รับผูกขาดการบ่อนเบี้ยนั้น นายอากรจัดส่งออกไปเสียนอกพระราชอาณาเขตร์เปนอันมาก และการบ่อนเบี้ยยังเปนการที่นำมาซึ่งโจรกรรมและการอาญาอื่นๆ อีกเล่า
ถ้าให้เลิกการตั้งเล่นบ่อนเบี้ยเสีย ก็จะทำให้อาณาประชาราษฎรมีสันดานและความประพฤติดีขึ้นอย่างหนึ่ง ทำให้การทำมาหากินเจริญขึ้นอย่างหนึ่ง ใช่แต่เท่านั้น ทรัพย์สมบัติซึ่งในเวลานี้ใช้ในการเล่นเบี้ยอยู่นั้น ก็จะเป็นทรัพย์สมบัติที่จะใช้แพร่หลายอยู่ในพระราชอาณาเขตร์ เปนทางให้เกิดความสมบูรณ์ในบ้านเมืองยิ่งขึ้นอีกอย่างหนึ่ง" ดังปรากฏในประกาศเลิกบ่อนเบี้ยรัตนโกสินทรศก 124 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 21 หน้า 875-878 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 123 (พ.ศ.2447)
ถึงแม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 จะเลิกบ่อนเบี้ยไม่ได้ทั้งหมดทั่วประเทศ เนื่องจากต้องค่อยๆ เลิกบ่อนเบี้ยแต่ละแห่งเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐมากนัก โดยจำเป็นต้องขึ้นอากรบางอย่างทดแทน และการที่จะขึ้นอากรบางอย่างนั้น ต้องหารือกับรัฐบาลต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบก่อน ทำให้ต้องใช้เวลา แต่อย่างไรก็ดี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สามารถเลิกบ่อนเบี้ยได้ทั้งหมดในปี พ.ศ.2460
2. กาสิโนเป็นส่วนของการพนันซึ่งเป็นอบายมุขอันควรหลีกเลี่ยง อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในทุกศาสนา การพนันถือเป็นอบายมุข ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมและนำไปสู่ความฉิบหาย รวมทั้งอาจสร้างปัญหาทางสังคม และยังทำให้ภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ ของผู้เล่นการพนันเอง สังคม และประเทศโดยรวมลดลง จึงไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3. เงินหมุนเวียนในกาสิโนไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของเจ้าของเงินจากผู้เล่นพนันเสียไปยังผู้เล่นพนันได้ จำนวนเงินรวมเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มผลิตผลหรือรายได้ให้แก่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าของกาสิโนเป็นคนต่างชาติ เงินรายได้จากกาสิโนจะถูกส่งออกไปนอกประเทศ
4. กาสิโนอาจถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน ผู้ที่ได้เงินมาโดยทุจริตสามารถใช้กาสิโนเป็นช่องทางในการฟอกเงินได้หากเจ้าของกาสิโนให้ความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
5. ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และมีศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพากาสิโน อีกทั้งยังจะเป็นการสร้างเอกลักษณ์ของชาติหากเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีกาสิโน
จากบทเรียนของการเปิดบ่อนเบี้ยของไทยในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 ดังกล่าวข้างต้น สภาพัฒนาการเมืองจึงขอคัดค้านการเปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย
กาสิโนเป็นส่วนของการพนันซึ่งเป็นอบายมุขอันควรหลีกเลี่ยง ไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในทุกศาสนา การพนันถือเป็นอบายมุข เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสื่อม นำไปสู่ความฉิบหาย สร้างปัญหาทางสังคม ทำให้ภูมิคุ้มกันด้านต่างๆ ของประเทศโดยรวมลดลง เงินหมุนเวียนในกาสิโนไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของเจ้าของเงินจากผู้เล่นพนันเสียไปยังผู้เล่นพนันได้ จำนวนเงินรวมเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มผลิตผลหรือรายได้ให้แก่ระบบเศรษบกิจโดยรวม หากเจ้าของกาสิโนเป็นคนต่างชาติ เงินรายได้จะถูกส่งออกไปนอกประเทศ กาสิโนยังอาจถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน ผู้ที่ได้เงินมาโดยทุจริตสามารถใช้กาสิโนเป็นช่องทางในการฟอกเงินได้ หากเจ้าของกาสิโนให้ความร่วมมือ ทำให้การป้องกันปราบปรามการทุจริตเป็นไปได้ยาก ซึ่งประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม มีศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพากาสิโน
สภาพัฒนาการเมือง ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติสภาพัฒนาการเมือง พ.ศ.2551 โดยมีบทบาทอำนาจหน้าที่ประการหนึ่งตามมาตรา 6 (3) ข้อ (ก) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ในการส่งเสริมการพัฒนาศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม จึงขอแถลงให้สังคมได้รับทราบดังนี้
1. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงเคยเลิกบ่อนเบี้ยซึ่งเป็นบ่อนการพนันในลักษณะคล้ายกับกาสิโนมาแล้ว เนื่องจากทรงเห็นโทษของบ่อนเบี้ยต่อราษฎรและประเทศของพระองค์ ในอดีตประเทศไทยเคยมีบ่อนการพนันในลักษณะคล้ายกับกาสิโนที่ถูกกฎหมายซึ่งเรียกว่า "บ่อนเบี้ย" มาแล้ว โดยมีการกำหนดให้เก็บอากรที่เรียกว่า "เก็บหัวเบี้ย" ซึ่งผู้ได้รับอนุญาตเปิดบ่อนเบี้ยที่เรียกว่า "นายอากรบ่อนเบี้ย" เป็นผู้เก็บอากรดังกล่าวส่งให้รัฐ แต่เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงมีพระราชดำริเห็นว่า
"แม้ถึงว่าจะได้ผลประโยชน์มาใช้จ่ายในราชการแผ่นดินเป็นเงินรายได้อันสำคัญของรัฐบาลประเภทหนึ่งก็จริง แต่ย่อมกระทำให้น้ำใจอาณาประชาราษฎรฝั้นเฝือดำเนินไปในทางต่ำช้าเลวทราม ใช่แต่เป็นที่เสื่อมเสียทรัพย์สมบัติของนักเลงผู้เล่นส่วนเดียว ย่อมเป็นทางอันตรายแก่ทรัพย์สินของผู้อื่นด้วย และความมัวเมาในการเล่นพนันย่อมขัดห้ามต่อเวลาที่จะพึงทำการให้เกิดประโยชน์ต่างๆ ด้วย อีกประการหนึ่งการพนันบ่อนเบี้ยในเวลานี้ เงินที่ตกไปในมือนายอากรผู้รับผูกขาดการบ่อนเบี้ยนั้น นายอากรจัดส่งออกไปเสียนอกพระราชอาณาเขตร์เปนอันมาก และการบ่อนเบี้ยยังเปนการที่นำมาซึ่งโจรกรรมและการอาญาอื่นๆ อีกเล่า
ถ้าให้เลิกการตั้งเล่นบ่อนเบี้ยเสีย ก็จะทำให้อาณาประชาราษฎรมีสันดานและความประพฤติดีขึ้นอย่างหนึ่ง ทำให้การทำมาหากินเจริญขึ้นอย่างหนึ่ง ใช่แต่เท่านั้น ทรัพย์สมบัติซึ่งในเวลานี้ใช้ในการเล่นเบี้ยอยู่นั้น ก็จะเป็นทรัพย์สมบัติที่จะใช้แพร่หลายอยู่ในพระราชอาณาเขตร์ เปนทางให้เกิดความสมบูรณ์ในบ้านเมืองยิ่งขึ้นอีกอย่างหนึ่ง" ดังปรากฏในประกาศเลิกบ่อนเบี้ยรัตนโกสินทรศก 124 ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 21 หน้า 875-878 วันที่ 26 กุมภาพันธ์ ร.ศ. 123 (พ.ศ.2447)
ถึงแม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 จะเลิกบ่อนเบี้ยไม่ได้ทั้งหมดทั่วประเทศ เนื่องจากต้องค่อยๆ เลิกบ่อนเบี้ยแต่ละแห่งเพื่อไม่ให้มีผลกระทบต่อรายได้ของรัฐมากนัก โดยจำเป็นต้องขึ้นอากรบางอย่างทดแทน และการที่จะขึ้นอากรบางอย่างนั้น ต้องหารือกับรัฐบาลต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบก่อน ทำให้ต้องใช้เวลา แต่อย่างไรก็ดี ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 สามารถเลิกบ่อนเบี้ยได้ทั้งหมดในปี พ.ศ.2460
2. กาสิโนเป็นส่วนของการพนันซึ่งเป็นอบายมุขอันควรหลีกเลี่ยง อีกทั้งยังไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในทุกศาสนา การพนันถือเป็นอบายมุข ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดความเสื่อมและนำไปสู่ความฉิบหาย รวมทั้งอาจสร้างปัญหาทางสังคม และยังทำให้ภูมิคุ้มกันในด้านต่างๆ ของผู้เล่นการพนันเอง สังคม และประเทศโดยรวมลดลง จึงไม่สอดคล้องกับแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
3. เงินหมุนเวียนในกาสิโนไม่มีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเพียงการเปลี่ยนมือของเจ้าของเงินจากผู้เล่นพนันเสียไปยังผู้เล่นพนันได้ จำนวนเงินรวมเท่าเดิม ไม่ได้เพิ่มผลิตผลหรือรายได้ให้แก่ระบบเศรษฐกิจโดยรวม ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าของกาสิโนเป็นคนต่างชาติ เงินรายได้จากกาสิโนจะถูกส่งออกไปนอกประเทศ
4. กาสิโนอาจถูกใช้เป็นแหล่งฟอกเงิน ผู้ที่ได้เงินมาโดยทุจริตสามารถใช้กาสิโนเป็นช่องทางในการฟอกเงินได้หากเจ้าของกาสิโนให้ความร่วมมือ ซึ่งจะทำให้การป้องกันและปราบปรามการทุจริตเป็นไปได้ยากยิ่งขึ้น
5. ประเทศไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงาม และมีศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพากาสิโน อีกทั้งยังจะเป็นการสร้างเอกลักษณ์ของชาติหากเป็นประเทศเดียวในภูมิภาคที่ไม่มีกาสิโน
จากบทเรียนของการเปิดบ่อนเบี้ยของไทยในอดีต ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้จากพระราชดำริของรัชกาลที่ 5 ดังกล่าวข้างต้น สภาพัฒนาการเมืองจึงขอคัดค้านการเปิดกาสิโนอย่างถูกกฎหมายในประเทศไทย