มาเลเซียแถลงยืนยันในวันจันทร์ (25 พ.ค.) ว่า พบหลุมศพ 139 หลุม และค่ายกักกันของพวกค้ามนุษย์กลางป่า 28 ค่าย บริเวณใกล้กับชายแดนติดต่อกับไทย การค้นพบคราวนี้ยิ่งตีแผ่ให้เห็นระดับความรุนแรงของวิกฤตการค้ามนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งตอกย้ำข้อกล่าวหาของเหล่านักเคลื่อนไหวที่ว่า เจ้าหน้าที่บ้านเมืองบางคนสมรู้ร่วมคิดกับกระบวนการขูดรีดผู้อพยพชาวโรฮีนจาและบังกลาเทศ หรือปล่อยปละละเลยให้อาชญากรรมอันโหดเหี้ยมเลวร้ายนี้เกิดขึ้นมา
หลังจากยืนกรานมาตลอดว่า ไม่มีหลุมศพหรือค่ายกักกันแรงงานทาสในแดนเสือเหลือง เมื่อวันจันทร์ (25) คอลิด อบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ได้เปิดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงการค้นพบหลุมที่เชื่อว่า เป็นหลุมฝังศพ 139 หลุม ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่า มีศพจำนวนมากน้อยเท่าใด และแคมป์กักกัน 28 แห่งในเมืองวัง เกเลียน รัฐปะลิส
ผู้บัญชาการตำรวจแดนเสือเหลืองยังประกาศว่า จะนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมนี้มาลงโทษ และแจกแจงว่า ค่ายที่ใหญ่ที่สุดอาจกักกันผู้อพยพถึง 300 คน อีกแห่งหนึ่งรองรับได้ 100 คน ส่วนที่เหลือประมาณ 20 คน และว่า จากหลักฐานที่พบบ่งชี้ว่า ค่ายกักกันอย่างน้อย 2 แห่งเพิ่งถูกทิ้งร้างในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้
ทางด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย ที่กำลังอยู่ระหว่างเยือนญี่ปุ่น ได้ออกมาแสดงความวิตกห่วงใยกับการค้นพบตนสงนี้ และให้สัญญาว่า จะหาตัวคนผิดมาดำเนินคดี โดยเมื่อต้นเดือน นาจิบเพิ่งประกาศว่า จะไม่ยอมให้มีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นในมาเลเซีย
ทว่า หลุมศพที่พบล่าสุดมีแนวโน้มดึงดูดความสนใจไปที่ปัญหาการค้ามนุษย์ในแดนเสือเหลือง ที่นักเคลื่อนไหวจำนวนมากระบุว่า ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรและน่าสงสัยว่า มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องด้วย
เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของมาเลเซียเป็นแม่เหล็กอย่างดีดึงดูดผู้อพยพจากประเทศร่วมภูมิภาคที่ยากจน โดยนักเคลื่อนไหวชี้ว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลปิดหูปิดตาไม่รับรู้การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการตอบสนองความต้องการแรงงานต้นทุนต่ำของอุตสาหกรรมการผลิตและเกษตรกรรมในประเทศ
ทว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รายงานว่า ชาวโรฮีนจาและผู้อพยพอื่นๆ มักถูกล่วงละเมิด กดขี่แรงงาน และกระทั่งถูกปล้นโดยฝีมือตำรวจและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ของมาเลเซีย รวมถึงถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ
คอลิดเผยว่า ตำรวจมาเลเซียค้นพบค่ายกักกันเหล่านี้ หลังจากรับรู้ข่าวการค้นพบหลุมศพและค่ายกักกันที่อยู่ในเขตไทยเมื่อต้นเดือนนี้
หลังจากยืนกรานมาตลอดว่า ไม่มีหลุมศพหรือค่ายกักกันแรงงานทาสในแดนเสือเหลือง เมื่อวันจันทร์ (25) คอลิด อบู บาการ์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาเลเซีย ได้เปิดการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงการค้นพบหลุมที่เชื่อว่า เป็นหลุมฝังศพ 139 หลุม ซึ่งยังไม่รู้แน่ชัดว่า มีศพจำนวนมากน้อยเท่าใด และแคมป์กักกัน 28 แห่งในเมืองวัง เกเลียน รัฐปะลิส
ผู้บัญชาการตำรวจแดนเสือเหลืองยังประกาศว่า จะนำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมนี้มาลงโทษ และแจกแจงว่า ค่ายที่ใหญ่ที่สุดอาจกักกันผู้อพยพถึง 300 คน อีกแห่งหนึ่งรองรับได้ 100 คน ส่วนที่เหลือประมาณ 20 คน และว่า จากหลักฐานที่พบบ่งชี้ว่า ค่ายกักกันอย่างน้อย 2 แห่งเพิ่งถูกทิ้งร้างในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้
ทางด้านนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย ที่กำลังอยู่ระหว่างเยือนญี่ปุ่น ได้ออกมาแสดงความวิตกห่วงใยกับการค้นพบตนสงนี้ และให้สัญญาว่า จะหาตัวคนผิดมาดำเนินคดี โดยเมื่อต้นเดือน นาจิบเพิ่งประกาศว่า จะไม่ยอมให้มีการค้ามนุษย์เกิดขึ้นในมาเลเซีย
ทว่า หลุมศพที่พบล่าสุดมีแนวโน้มดึงดูดความสนใจไปที่ปัญหาการค้ามนุษย์ในแดนเสือเหลือง ที่นักเคลื่อนไหวจำนวนมากระบุว่า ดำเนินการโดยเครือข่ายอาชญากรและน่าสงสัยว่า มีเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องด้วย
เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูของมาเลเซียเป็นแม่เหล็กอย่างดีดึงดูดผู้อพยพจากประเทศร่วมภูมิภาคที่ยากจน โดยนักเคลื่อนไหวชี้ว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลปิดหูปิดตาไม่รับรู้การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายส่วนหนึ่งเนื่องจากต้องการตอบสนองความต้องการแรงงานต้นทุนต่ำของอุตสาหกรรมการผลิตและเกษตรกรรมในประเทศ
ทว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ รายงานว่า ชาวโรฮีนจาและผู้อพยพอื่นๆ มักถูกล่วงละเมิด กดขี่แรงงาน และกระทั่งถูกปล้นโดยฝีมือตำรวจและเจ้าหน้าที่อื่นๆ ของมาเลเซีย รวมถึงถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศ
คอลิดเผยว่า ตำรวจมาเลเซียค้นพบค่ายกักกันเหล่านี้ หลังจากรับรู้ข่าวการค้นพบหลุมศพและค่ายกักกันที่อยู่ในเขตไทยเมื่อต้นเดือนนี้