สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงแบกแดด ประเทศอิรัก เมื่อวันที่ 7 เม.ย. ว่ากองทัพอิรักเผยเรื่องการพบหลุมศพขนาดใหญ่จำนวนมากอย่างน้อย 12 แห่ง กระจายอยู่ในเมืองติกริต ทางตอนเหนือของอิรัก เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ แม้สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ของรัฐบาลแบกแดดยังไม่สามารถรวบรวมจำนวนร่างผู้เสียชีวิตได้อย่างชัดเจน แต่มีการประเมินในเบื้องต้นว่าอาจมากถึง 1,700 ศพ ที่ถูกนักรบของกลุ่มรัฐอิสลาม หรือไอเอส จับกุมและสังหาร ในระหว่างการสู้รบที่เมืองติกริต จังหวัดซาลาฮุดดิน โดยหลุมศพเหล่านี้ตั้งอยู่ใกล้กับค่ายทหารเก่าของกองทัพสหรัฐฯ และมีผู้พบหลังจากที่ทหารอิรักร่วมด้วยนักรบจากหลายชนเผ่าร่วมกันขับไล่ไอเอสออกไปจากพื้นที่
รายงานกระแสหนึ่งระบุว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นทหารซึ่งกลุ่มไอเอสจับเป็นเชลยศึก ในช่วงยึดครองเมืองติกริตตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว ก่อนที่กองทัพอิรักจะสามารถสู้รบยึดเมืองกลับคืนได้สำเร็จเมื่อต้นเดือนนี้ โดยผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งกล่าวว่า กลุ่มไอเอสเลือกสังหารเฉพาะเหยื่อที่เป็นชาวชีอะห์ โดยนักรบไอเอสจะสอบถามก่อนว่า มีผู้ใดที่เป็นมุสลิมชีอะห์ จากนั้นก็จะสังหารทิ้ง
ทั้งนี้ หลุมศพส่วนใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากแคมป์ ชไปเชอร์ ซึ่งเป็นฐานทัพเก่าของกองทัพสหรัฐ ขณะที่สุสานอีกหลายแห่งตั้งอยู่ในบริเวณของสถานที่ซึ่งเคยเป็นทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีซัดัม ฮุสเซ็น และกลุ่มไอเอสใช้เป็นสถานที่บัญชาการในช่วงของการยึดครองเมือง
ล่าสุดเจ้าหน้าที่นิติเวชของอิรักกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบด้วยการเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอ ซึ่งมีปัญหาสำคัญคือ การที่ครอบครัวของทหารอิรักไม่เคยรู้ว่าสมาชิกของครอบครัวประจำการอยู่ที่ไหน หรือเสียชีวิตไปแล้วหรือไม่
รายงานกระแสหนึ่งระบุว่า ผู้เสียชีวิตทั้งหมดเป็นทหารซึ่งกลุ่มไอเอสจับเป็นเชลยศึก ในช่วงยึดครองเมืองติกริตตั้งแต่เดือนมิ.ย. ปีที่แล้ว ก่อนที่กองทัพอิรักจะสามารถสู้รบยึดเมืองกลับคืนได้สำเร็จเมื่อต้นเดือนนี้ โดยผู้รอดชีวิตจำนวนหนึ่งกล่าวว่า กลุ่มไอเอสเลือกสังหารเฉพาะเหยื่อที่เป็นชาวชีอะห์ โดยนักรบไอเอสจะสอบถามก่อนว่า มีผู้ใดที่เป็นมุสลิมชีอะห์ จากนั้นก็จะสังหารทิ้ง
ทั้งนี้ หลุมศพส่วนใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากแคมป์ ชไปเชอร์ ซึ่งเป็นฐานทัพเก่าของกองทัพสหรัฐ ขณะที่สุสานอีกหลายแห่งตั้งอยู่ในบริเวณของสถานที่ซึ่งเคยเป็นทำเนียบของอดีตประธานาธิบดีซัดัม ฮุสเซ็น และกลุ่มไอเอสใช้เป็นสถานที่บัญชาการในช่วงของการยึดครองเมือง
ล่าสุดเจ้าหน้าที่นิติเวชของอิรักกำลังอยู่ในระหว่างตรวจสอบด้วยการเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอ ซึ่งมีปัญหาสำคัญคือ การที่ครอบครัวของทหารอิรักไม่เคยรู้ว่าสมาชิกของครอบครัวประจำการอยู่ที่ไหน หรือเสียชีวิตไปแล้วหรือไม่