รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (28 กุมภาพันธ์ 2558) หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค หลวงปู่พุทธะอิสระ (Buddha Isara) ถึงกรณีมติของที่ประชุมมหาเถรสมาคมที่ไม่มีการหารือถึงประเด็นพระธัมมชโยเป็นปาราชิกหรือไม่ ดังนี้
ไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หรือจะทำมึน ตีเนียน ช่วยพวก
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
หยิบยกเอาพระลิขิตและมติมหาเถรปี ๔๒ มาให้ดูว่าพฤติกรรมของมหาเถร ใครว่าเลือกปฏิบัติ ละเว้นไม่ปฏิบัติอย่างไร สังคมจะได้หูตาสว่างว่าพุทธบริษัทไทยสมควรปล่อยให้มหาเถรรวบอำนาจ ทั้งปกครอง บริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ เอาไว้แต่เพียงองค์กรเดียว เช่นนี้ต่อไปพุทธศาสนาจะเหลืออะไร
มส.หรือมหาเถรสมาคมพยายามจะบอกให้ชาวพุทธทั้งประเทศได้รู้ว่า ไม่สามารถจะดำเนินการใดๆ ในคดีของธัมมชโย ได้ยุติลงแล้ว และไม่สามารถจะรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
มส.พยายามตอกย้ำให้คนไทยเชื่ออย่างที่ มส.เชื่อ โดยคนไทยผู้มีหัวใจหวงแหนพระธรรมวินัย มิได้เชื่ออย่างที่ มส.เชื่อ โดยคนไทยพุทธทุกคนเชื่อว่า พระลิขิตเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงกล่าวโทษธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว เหตุเพราะยักยอกทรัพย์ของวัด
แม้ทรัพย์นั้นจะส่งคืน แต่คนไทยยังสงสัยว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก และ มส.จะดำเนินการอย่างไร ทุกครั้งที่ มส.ออกมาพูด ออกมาแถลง มส.ไม่เคยพูดในประเด็นธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกเลย หรือ มส.จะละเลย ไม่รู้จักธรรมวินัย ตัวอย่างดังที่นักข่าวถามพระพรหมเมธีว่า วันนี้ มส.มีมติอะไรบ้าง พระพรหมเมธีกล่าวว่า พิจารณาแต่เรื่องงานของ มส. ส่วนกรณีเกี่ยวกับธัมมชโยไม่ได้มีการพูดถึง
ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงถามว่า แสดงว่า พระธัมมชโยยังไม่ปาราชิกใช่หรือไม่ พระพรหมเมธีกล่าวว่า “ไม่ทราบ และที่ประชุม มส.ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
รู้สึกยังไงพี่น้อง นี่แหละกรรมการมหาเถรสมาคมล่ะ ดูว่าพวกเขาจะไม่สนว่าพระลิขิตว่าอย่างไร มส.มีอำนาจหน้าที่อย่างไร พระธรรมวินัยบัญญัติเอาไว้อย่างไร แล้วพุทธศาสนิกชนคนรักพระธรรมวินัยอย่างพวกเรา จะทำอย่างไรกันดี
ฉันไม่ใช่คนดื้อด้านหัวรั้น ไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกาและกฎหมาย หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีความสุจริตยุติธรรม ซื่อตรง คงเส้นคงวา ทรงธรรมทรงวินัย มาสั่งให้ฉันหยุด ฉันจะหยุด มาสั่งให้ฉันสึก ฉันจะสึก มาสั่งให้ฉันตาย ฉันก็จะตาย
แต่หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีพฤติกรรมย่ำยี เหยียดหยาม ดูถูก บ่อนทำร้ายอุดมการณ์ของพระบรมศาสดา หลักการของพระธรรมวินัย แต่อ้างกฎหมาย เอาอำนาจมาข่มขู่ ยังงั้นคงต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัยทั้ง ๘ ข้อ ที่พระบรมศาสดาทรงวางเอาไว้ ถามหน่อยว่า กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ผู้ปกครองมีแล้วหรือยัง เคยเรียนมาบ้างไหม แล้วทำได้หรือเปล่า
“ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสงฆ์ อยากจะฝากประชาชนอย่างไร พระพรหมเมธีกล่าวว่า มุมมองของสังคมไทย เราคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่งก็ต้องใช้วิจารณญาณดูว่าอะไรที่ถูกที่ควร เนื่องจากเรื่องศรัทธาของประชาชนที่มีความศรัทธาต่อพระสงฆ์นั้น แตกต่างกันไป เราคิดว่าใครเป็นลูกศิษย์ใครก็คิดว่าอาจารย์ของตัวเองนั้นทำดีและทำถูก อย่างไรก็ตาม เราต้องเอาองค์กรใหญ่ คือ มส. ได้ทำในสิ่งที่ถูก เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนานี้มั่นคงแข็งแรง โดยอาศัยพื้นฐานความศรัทธาของประชาชน อย่าให้กระทบต่อศรัทธาประชาชน”
ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่พวกกรรมการ มส.ทำอยู่นี้ มันเป็นประโยชน์ในพระธรรมวินัยตรงไหน และการที่ มส.ปล่อยให้มีอลัชชีเต็มบ้านเต็มเมือง มันยังให้เกิดศรัทธาต่อ มส.ได้อย่างไร นี่ฉันโง่ไปหรือเปล่า ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง
“ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีการเชิญพระพุทธะอิสระมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่ พระพรหมเมธีกล่าวว่า เรามีเจ้าคณะปกครองตามลำดับ เมื่อพระพุทธะอิสระขึ้นอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ที่จะดำเนินการและรายงานเรื่องนี้มาเป็นลำดับ เช่น จากเจ้าคณะจังหวัด มาเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กว่าจะมาถึงที่ประชุม มส. เป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่การพิจารณาของเจ้าคณะปกครองดังที่กล่าวมานี้ ในทางตรงกันข้าม เจ้าคณะปกครองที่ดูแลวัดพระธรรมกายก็ได้ทำหน้าที่นี้เช่นกัน ส่วนกรณีพระพุทธะอิสระ จะมีการแจ้งความโฆษก มส. โฆษก พศ. และพระพรหมโมลี ว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกัน และยังไม่เคยพบกับพระพุทธอิสระ เพราะว่าเขาอาจจะเห็นต่างไป เราไปบังคับเขาไม่ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เรื่องเดียวแต่มีการมองคนละแบบ”
พุทธะอิสระขอบอกเลยว่า ไม่ยอมรับการปกครองของพวกอลัชชี ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ เหยียบยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง อยู่ได้ด้วยการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ขององค์พระบรมศาสดา มิได้อยู่ได้เพราะการปกครองของ มส. เพราะ มส.ไม่สามารถทำตัวเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ตามหลักพระธรรมวินัย หากฉันอยากพึ่ง มส. ฉันต้องปาราชิกก่อนแล้วหาเงินไปเลี้ยง มส.เพื่อให้ช่วยปกปิดอาบัติ และป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ฉัน เช่นนายธัมมชโยและธรรมกายกระทำอยู่ ซึ่งฉันไม่มีเงิน รู้สึกอาย ทำไม่เป็น หากมีชีวิตอยู่แล้วไม่ภาคภูมิ สู้สึกหรือตายเสียดีกว่า ชีวิตนี้หากอยู่ที่ใดแล้วไม่ได้ให้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม
ฉะนั้น หาก มส.และเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ยังทำตัวเฉไฉ ไร้ความละอาย ไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย อย่ามาบังอาจแสดงอำนาจ หากจะแสดง ก็คงเป็นอำนาจถ่อยที่อ้างกฎหมาย ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่ถูกขับไล่ไป
ไม่รู้ หรือแกล้งไม่รู้ หรือจะทำมึน ตีเนียน ช่วยพวก
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
หยิบยกเอาพระลิขิตและมติมหาเถรปี ๔๒ มาให้ดูว่าพฤติกรรมของมหาเถร ใครว่าเลือกปฏิบัติ ละเว้นไม่ปฏิบัติอย่างไร สังคมจะได้หูตาสว่างว่าพุทธบริษัทไทยสมควรปล่อยให้มหาเถรรวบอำนาจ ทั้งปกครอง บริหาร ตุลาการ นิติบัญญัติ เอาไว้แต่เพียงองค์กรเดียว เช่นนี้ต่อไปพุทธศาสนาจะเหลืออะไร
มส.หรือมหาเถรสมาคมพยายามจะบอกให้ชาวพุทธทั้งประเทศได้รู้ว่า ไม่สามารถจะดำเนินการใดๆ ในคดีของธัมมชโย ได้ยุติลงแล้ว และไม่สามารถจะรื้อคดีขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
มส.พยายามตอกย้ำให้คนไทยเชื่ออย่างที่ มส.เชื่อ โดยคนไทยผู้มีหัวใจหวงแหนพระธรรมวินัย มิได้เชื่ออย่างที่ มส.เชื่อ โดยคนไทยพุทธทุกคนเชื่อว่า พระลิขิตเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ทรงกล่าวโทษธัมมชโยเป็นปาราชิกแล้ว เหตุเพราะยักยอกทรัพย์ของวัด
แม้ทรัพย์นั้นจะส่งคืน แต่คนไทยยังสงสัยว่า ธัมมชโยเป็นปาราชิก และ มส.จะดำเนินการอย่างไร ทุกครั้งที่ มส.ออกมาพูด ออกมาแถลง มส.ไม่เคยพูดในประเด็นธัมมชโยต้องอาบัติปาราชิกเลย หรือ มส.จะละเลย ไม่รู้จักธรรมวินัย ตัวอย่างดังที่นักข่าวถามพระพรหมเมธีว่า วันนี้ มส.มีมติอะไรบ้าง พระพรหมเมธีกล่าวว่า พิจารณาแต่เรื่องงานของ มส. ส่วนกรณีเกี่ยวกับธัมมชโยไม่ได้มีการพูดถึง
ต่อมาผู้สื่อข่าวจึงถามว่า แสดงว่า พระธัมมชโยยังไม่ปาราชิกใช่หรือไม่ พระพรหมเมธีกล่าวว่า “ไม่ทราบ และที่ประชุม มส.ไม่ได้พิจารณาเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย”
รู้สึกยังไงพี่น้อง นี่แหละกรรมการมหาเถรสมาคมล่ะ ดูว่าพวกเขาจะไม่สนว่าพระลิขิตว่าอย่างไร มส.มีอำนาจหน้าที่อย่างไร พระธรรมวินัยบัญญัติเอาไว้อย่างไร แล้วพุทธศาสนิกชนคนรักพระธรรมวินัยอย่างพวกเรา จะทำอย่างไรกันดี
ฉันไม่ใช่คนดื้อด้านหัวรั้น ไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกาและกฎหมาย หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีความสุจริตยุติธรรม ซื่อตรง คงเส้นคงวา ทรงธรรมทรงวินัย มาสั่งให้ฉันหยุด ฉันจะหยุด มาสั่งให้ฉันสึก ฉันจะสึก มาสั่งให้ฉันตาย ฉันก็จะตาย
แต่หากผู้บังคับใช้กฎหมายมีพฤติกรรมย่ำยี เหยียดหยาม ดูถูก บ่อนทำร้ายอุดมการณ์ของพระบรมศาสดา หลักการของพระธรรมวินัย แต่อ้างกฎหมาย เอาอำนาจมาข่มขู่ ยังงั้นคงต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
หลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
๑. เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด
๒. เป็นไปเพื่อความไม่ประกอบทุกข์
๓. เป็นไปเพื่อไม่สะสมกองกิเลส
๔. เป็นไปเพื่อความอยากน้อย
๕. เป็นไปเพื่อความสันโดษ
๖. เป็นไปเพื่อความไม่คลุกคลี
๗. เป็นไปเพื่อความพากเพียร
๘. เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย
ลักษณะตัดสินพระธรรมวินัยทั้ง ๘ ข้อ ที่พระบรมศาสดาทรงวางเอาไว้ ถามหน่อยว่า กรรมการมหาเถรสมาคม และพระสงฆ์ผู้ปกครองมีแล้วหรือยัง เคยเรียนมาบ้างไหม แล้วทำได้หรือเปล่า
“ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างสงฆ์ อยากจะฝากประชาชนอย่างไร พระพรหมเมธีกล่าวว่า มุมมองของสังคมไทย เราคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่ง อีกคนหนึ่งอาจมองเป็นอย่างหนึ่งก็ต้องใช้วิจารณญาณดูว่าอะไรที่ถูกที่ควร เนื่องจากเรื่องศรัทธาของประชาชนที่มีความศรัทธาต่อพระสงฆ์นั้น แตกต่างกันไป เราคิดว่าใครเป็นลูกศิษย์ใครก็คิดว่าอาจารย์ของตัวเองนั้นทำดีและทำถูก อย่างไรก็ตาม เราต้องเอาองค์กรใหญ่ คือ มส. ได้ทำในสิ่งที่ถูก เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนานี้มั่นคงแข็งแรง โดยอาศัยพื้นฐานความศรัทธาของประชาชน อย่าให้กระทบต่อศรัทธาประชาชน”
ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าที่พวกกรรมการ มส.ทำอยู่นี้ มันเป็นประโยชน์ในพระธรรมวินัยตรงไหน และการที่ มส.ปล่อยให้มีอลัชชีเต็มบ้านเต็มเมือง มันยังให้เกิดศรัทธาต่อ มส.ได้อย่างไร นี่ฉันโง่ไปหรือเปล่า ทำไมเข้าใจอะไรยากจัง
“ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า จะมีการเชิญพระพุทธะอิสระมาทำความเข้าใจในเรื่องนี้หรือไม่ พระพรหมเมธีกล่าวว่า เรามีเจ้าคณะปกครองตามลำดับ เมื่อพระพุทธะอิสระขึ้นอยู่กับเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ก็ต้องเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ที่จะดำเนินการและรายงานเรื่องนี้มาเป็นลำดับ เช่น จากเจ้าคณะจังหวัด มาเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กว่าจะมาถึงที่ประชุม มส. เป็นลำดับสุดท้าย ซึ่งเรื่องนี้อยู่ที่การพิจารณาของเจ้าคณะปกครองดังที่กล่าวมานี้ ในทางตรงกันข้าม เจ้าคณะปกครองที่ดูแลวัดพระธรรมกายก็ได้ทำหน้าที่นี้เช่นกัน ส่วนกรณีพระพุทธะอิสระ จะมีการแจ้งความโฆษก มส. โฆษก พศ. และพระพรหมโมลี ว่าไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นั้น เรื่องนี้ยังไม่ได้คุยกัน และยังไม่เคยพบกับพระพุทธอิสระ เพราะว่าเขาอาจจะเห็นต่างไป เราไปบังคับเขาไม่ได้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เรื่องเดียวแต่มีการมองคนละแบบ”
พุทธะอิสระขอบอกเลยว่า ไม่ยอมรับการปกครองของพวกอลัชชี ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ เหยียบยืนได้ด้วยลำแข้งตนเอง อยู่ได้ด้วยการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ขององค์พระบรมศาสดา มิได้อยู่ได้เพราะการปกครองของ มส. เพราะ มส.ไม่สามารถทำตัวเป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ตามหลักพระธรรมวินัย หากฉันอยากพึ่ง มส. ฉันต้องปาราชิกก่อนแล้วหาเงินไปเลี้ยง มส.เพื่อให้ช่วยปกปิดอาบัติ และป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ฉัน เช่นนายธัมมชโยและธรรมกายกระทำอยู่ ซึ่งฉันไม่มีเงิน รู้สึกอาย ทำไม่เป็น หากมีชีวิตอยู่แล้วไม่ภาคภูมิ สู้สึกหรือตายเสียดีกว่า ชีวิตนี้หากอยู่ที่ใดแล้วไม่ได้ให้ประโยชน์ ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม
ฉะนั้น หาก มส.และเจ้าคณะปกครองตามลำดับชั้น ยังทำตัวเฉไฉ ไร้ความละอาย ไม่ซื่อตรงต่อพระธรรมวินัย อย่ามาบังอาจแสดงอำนาจ หากจะแสดง ก็คงเป็นอำนาจถ่อยที่อ้างกฎหมาย ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่ถูกขับไล่ไป