วันนี้ (27 ก.พ.) พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองปราบปราม (บก.ป.) นำตัวนางวันทนีย์ สุวะดี อายุ 66 ปี และนายอภิรุจ สุวะดี อายุ 72 ปี สามีภรรยา ในคดีหมิ่นเบื้องสูง มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรก
คำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 นางวันทนีย์ และนายอภิรุจ ซึ่งเป็นบิดา-มารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้แอบอ้างด้วยการข่มขู่ น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี มณีจันทร์ กับครอบครัว ให้เกิดความเกรงกลัว เนื่องจากโกรธเคือง น.ส.ศวิตา ที่ไปพูดกับบุคคลอื่นว่ารู้จักกับนายอภิรุจ ผู้ต้องหาที่ 2 จนทำให้เกิดข่าวลือว่า น.ส.ศวิตา กับนายอภิรุจ มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้ น.ส.ศวิตา ต้องโทษจำคุกให้หลาบจำ ซึ่งการข่มขู่ของผู้ต้องหาทั้งสองทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเกิดความกลัว จนมีการแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ศวิตา ฐานฉ้อโกง ถึงแม้ น.ส.ศวิตา จะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม ซึ่ง น.ส.ศวิตา เกิดความหวาดกลัวการข่มขู่ จึงยอมรับสารภาพไม่กล้าโต้แย้ง จนเป็นเหตุให้ น.ส.ศวิตา ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุก 24 เดือน และเมื่อจำคุกไปแล้ว 1 ปี 6 เดือน จึงได้รับอภัยโทษ
การกระทำของทั้งสองทำให้ น.ส.ศวิตา และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเกรงกลัวจะได้รับอันตราย จนเวลาผ่านมา 10 ปีเศษ น.ส.ศวิตา เห็นว่าครอบครัวผู้ต้องหาทั้งสองถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบันไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหลายคดี จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวแล้วให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตามที่ น.ส.ศวิตา เข้าร้องทุกข์ จากนั้นผู้ต้องหาก็ได้รับการปล่อยตัวไป
พนักงานสอบสวนเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาก่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อบุคคลอื่น และไปข่มขู่ ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรวบรวมพยานหลักฐาน จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 10 มีนาคมนี้ โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากคดีมีความร้ายแรง มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมา ญาติและลูกสาวได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อหาความผิดมีความร้ายแรง แม้ผู้ต้องหาทั้งสองจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปรากฏพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนเสนอศาลเพียงพอมีเหตุอันควรเชื่อว่า หลังรับทราบข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และมีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ทั้งนี้ เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอภิรุจ ขึ้นรถไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนนางวันทนีย์ ถูกแยกไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน
คำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2546 นางวันทนีย์ และนายอภิรุจ ซึ่งเป็นบิดา-มารดาของท่านผู้หญิงศรีรัศมิ์ สุวะดี ได้แอบอ้างด้วยการข่มขู่ น.ส.ศวิตา หรือแสงระวี มณีจันทร์ กับครอบครัว ให้เกิดความเกรงกลัว เนื่องจากโกรธเคือง น.ส.ศวิตา ที่ไปพูดกับบุคคลอื่นว่ารู้จักกับนายอภิรุจ ผู้ต้องหาที่ 2 จนทำให้เกิดข่าวลือว่า น.ส.ศวิตา กับนายอภิรุจ มีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาว ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้ น.ส.ศวิตา ต้องโทษจำคุกให้หลาบจำ ซึ่งการข่มขู่ของผู้ต้องหาทั้งสองทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเกิดความกลัว จนมีการแจ้งความดำเนินคดี น.ส.ศวิตา ฐานฉ้อโกง ถึงแม้ น.ส.ศวิตา จะไม่ได้กระทำผิดก็ตาม ซึ่ง น.ส.ศวิตา เกิดความหวาดกลัวการข่มขู่ จึงยอมรับสารภาพไม่กล้าโต้แย้ง จนเป็นเหตุให้ น.ส.ศวิตา ต้องถูกศาลพิพากษาจำคุก 24 เดือน และเมื่อจำคุกไปแล้ว 1 ปี 6 เดือน จึงได้รับอภัยโทษ
การกระทำของทั้งสองทำให้ น.ส.ศวิตา และครอบครัวได้รับความเดือดร้อน ไม่สามารถใช้ชีวิตตามปกติ เพราะเกรงกลัวจะได้รับอันตราย จนเวลาผ่านมา 10 ปีเศษ น.ส.ศวิตา เห็นว่าครอบครัวผู้ต้องหาทั้งสองถูกดำเนินคดีเกี่ยวกับการแอบอ้างสถาบันไปแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบหลายคดี จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ประกอบ มาตรา 83 ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาทั้งสองเข้ามอบตัวแล้วให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นตามที่ น.ส.ศวิตา เข้าร้องทุกข์ จากนั้นผู้ต้องหาก็ได้รับการปล่อยตัวไป
พนักงานสอบสวนเห็นว่าการกระทำของผู้ต้องหาก่อให้เกิดความเกรงกลัวต่อบุคคลอื่น และไปข่มขู่ ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการรวบรวมพยานหลักฐาน จึงขออำนาจศาลฝากขังผู้ต้องหาทั้งสองไว้ 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ - 10 มีนาคมนี้ โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากคดีมีความร้ายแรง มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้
ต่อมา ญาติและลูกสาวได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อหาความผิดมีความร้ายแรง แม้ผู้ต้องหาทั้งสองจะเข้าพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา แต่ปรากฏพยานหลักฐานที่พนักงานสอบสวนเสนอศาลเพียงพอมีเหตุอันควรเชื่อว่า หลังรับทราบข้อกล่าวหา ผู้ต้องหาเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน และมีพฤติการณ์จะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ให้ยกคำร้อง
ทั้งนี้ เมื่อเวลาประมาณ 17.00 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายอภิรุจ ขึ้นรถไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนนางวันทนีย์ ถูกแยกไปควบคุมไว้ที่ทัณฑสถานหญิงกลางบางเขน