รายงานข่าวแจ้งว่า จากการที่กระทรวงคมนาคมได้มีการประชุมหารือถึงการปรับปรุงรางสถานีสะพานตากสินโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอส ให้รถสามารถเดินสวนกันได้ โดยที่ประชุมได้มีการเสนอความเห็นร่วมกันว่า ให้กทม.คงสถานีตากสินไว้เหมือนเดิม โดยในส่วนของพื้นที่ชั้นจำหน่ายตั๋วอยู่ที่เดิม ส่วนชั้นชานชาลาสถานีจะต้องปรับปรุง และรางรถไฟฟ้าจากรางเดียวจะเพิ่มให้เป็นรางคู่ เพื่อแก้ปัญหาช่วงคอขวด โดยให้ขยับสถานีจากจุดเดิมไปทางฝั่งธนบุรีประมาณ 200 เมตร ซึ่งจะออกไปทางแม่น้ำมากขึ้น เนื่องจากช่วงกลางสะพาน มีช่องว่างระหว่างสะพาน จะมีความกว้างมากกว่า แต่กทม.จะต้องออกแบบก่อสร้างเสาตอม่อขึ้นมาใหม่ เพื่อรองรับชานชาลาสะพาน
ทั้งนี้ในการดำเนินการตามแนวคิดใหม่นั้น จะต้องหยุดเดินรถเป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่สถานีตากสินไปยังสถานีกรุงธนบุรีและปลายทางสถานีบางหว้า ซึ่งกทม.จะต้องไปเจรจากับบีทีเอสผู้รับสัมปทาน ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว
ด้านนายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ส่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ข้อเสนอการคงสถานีบีทีเอสสะพานตากสินไว้ แต่จะต้องย้ายสถานีไปอยู่ตรงบริเวณกลางสะพานที่มีพื้นที่กว้างกว่าบริเวณเชิงสะพานที่มีสถานีอยู่เดิมนั้น เป็นข้อเสนอของทางกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในทางวิศวกรรมแม้สามารถทำได้ แต่จะติดปัญหาที่ว่า อาจต้องมีการปิดการเดินรถไปยังฝั่งธนบุรีเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 7 เดือนซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก กทม.จึงไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้เลย
ทั้งนี้กทม.ก็ต้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน เนื่องจากปัจจุบันมีประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าในสายสีลม วันละกว่า 100,000 คนและในอนาคตก็จะมีปริมาณผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นกทม.จึงต้องดำเนินการขยายรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสินเป็นรางคู่ เพื่อให้รถไม่ต้องมีการหยุดเพื่อรอสับหลีกขบวนซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องเสียเวลารอรถถึง 3-4 นาทีต่อขบวน
อย่างไรก็ตามการจะขยายรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน เป็นรางคู่นั้น คงต้องรื้อสถานีสะพานตากสิน ซึ่งเบื้องต้นกทม.จึงได้ดำเนินการทำทางเดิน(สกายวอล์ค) ระหว่างสถานีสุรศักดิ์ถึงสถานีตากสิน ระยะทาง 700 เมตร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้รถไฟฟ้าได้ที่สถานีสุรศักดิ์แทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำทีโออาร์ คาดว่าจะสามารถเปิดหาผู้รับรับเหมาได้ในต้นเดือน มี.ค.นี้ โดยสกายวอล์ดดังกล่าว จะต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 14 เดือน หลังจากนั้นกทม.จึงจะสามารถสรุปผลได้อีกครั้งว่า จะมีการยกเลิกการใช้สถานีบีทีเอส สะพานตากสินเมื่อใด
ทั้งนี้ในการดำเนินการตามแนวคิดใหม่นั้น จะต้องหยุดเดินรถเป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่สถานีตากสินไปยังสถานีกรุงธนบุรีและปลายทางสถานีบางหว้า ซึ่งกทม.จะต้องไปเจรจากับบีทีเอสผู้รับสัมปทาน ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นดังกล่าว
ด้านนายอมร กิจเชวงกุล รองผู้ส่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ข้อเสนอการคงสถานีบีทีเอสสะพานตากสินไว้ แต่จะต้องย้ายสถานีไปอยู่ตรงบริเวณกลางสะพานที่มีพื้นที่กว้างกว่าบริเวณเชิงสะพานที่มีสถานีอยู่เดิมนั้น เป็นข้อเสนอของทางกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ในฐานะเจ้าของพื้นที่ ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้น ถือว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในทางวิศวกรรมแม้สามารถทำได้ แต่จะติดปัญหาที่ว่า อาจต้องมีการปิดการเดินรถไปยังฝั่งธนบุรีเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 7 เดือนซึ่งจะทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมาก กทม.จึงไม่สามารถดำเนินการตามแนวทางนี้ได้เลย
ทั้งนี้กทม.ก็ต้องเร่งหาแนวทางแก้ไขปัญหาสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน เนื่องจากปัจจุบันมีประชาชนใช้บริการรถไฟฟ้าในสายสีลม วันละกว่า 100,000 คนและในอนาคตก็จะมีปริมาณผู้ใช้งานเพิ่มมากขึ้นอีก ดังนั้นกทม.จึงต้องดำเนินการขยายรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสินเป็นรางคู่ เพื่อให้รถไม่ต้องมีการหยุดเพื่อรอสับหลีกขบวนซึ่งจะทำให้ประชาชนต้องเสียเวลารอรถถึง 3-4 นาทีต่อขบวน
อย่างไรก็ตามการจะขยายรางรถไฟฟ้าบีทีเอส สะพานตากสิน เป็นรางคู่นั้น คงต้องรื้อสถานีสะพานตากสิน ซึ่งเบื้องต้นกทม.จึงได้ดำเนินการทำทางเดิน(สกายวอล์ค) ระหว่างสถานีสุรศักดิ์ถึงสถานีตากสิน ระยะทาง 700 เมตร เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้รถไฟฟ้าได้ที่สถานีสุรศักดิ์แทน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำทีโออาร์ คาดว่าจะสามารถเปิดหาผู้รับรับเหมาได้ในต้นเดือน มี.ค.นี้ โดยสกายวอล์ดดังกล่าว จะต้องใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างทั้งสิ้น 14 เดือน หลังจากนั้นกทม.จึงจะสามารถสรุปผลได้อีกครั้งว่า จะมีการยกเลิกการใช้สถานีบีทีเอส สะพานตากสินเมื่อใด