เวทีเดินหน้าประเทศไทยเพื่อความมั่นคงทางพลังงานที่ยั่งยืน เกี่ยวกับการเปิดผลิตและสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 21 ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลจัดขึ้นเพื่อให้ทุกฝ่ายได้แลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นและข้อสรุปที่ตรงกัน เพื่อการดำเนินการให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 09.30 น. โดยตัวแทนภาครัฐ และตัวแทนเครือข่ายประชาชน ต่างแสดงความคิดเห็นอย่างต่อเนื่อง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารจัดการพลังงานของประเทศจะต้องเน้นสร้างความมีประสิทธิภาพ ความมั่นคง และการสร้างความเป็นธรรมด้านพลังงาน ที่ต้องมีการสร้างความมีส่วนร่วม มีกลไกให้รัฐบาลมีทางเลือกมากขึ้น การเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน การแก้ไขข้อบกพร่องของกฎหมายปิโตรเลียม
ขณะที่ภาคประชาชน โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวตอนหนึ่งว่า ควรจะมีการแก้ไขกฎหมายก่อนที่จะมีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เนื่องจากกังวลว่ายังมีช่องโหว่ในหลายด้านที่อาจทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์ที่ควรได้ และการแก้ไขกฎหมายยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้ามายื่นสิทธิสำรวจปิโตรเลียมได้มากขึ้น
ทางด้าน ม.ล.กรณ์กสิวัฒน์ เกษมศรี กล่าวว่า ภาคประชาชนไม่ได้ขัดขวางการสำรวจด้านพลังงาน แต่อยากให้มีการกำหนดเงื่อนไขให้รอบคอบ และเพิ่มช่องทางให้ประเทศที่จะได้ผลประโยชน์ โดยระบุว่า จะใช้วิธีสัมปทาน การแบ่งปันผลผลิต หรือการรับจ้างการผลิต เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้กับประเทศ
ส่วนนายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้นำข้อมูลและเหตุผลการแสดงถึงความจำเป็นที่ต้องหาแหล่งสำรองพลังงานใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
ขณะที่นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า สปช.จะเดินหน้าปฏิรูปด้านพลังงาน โดยอยากให้เข้าใจว่าการแก้ไขกฎหมาย ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด อาจใช้เวลา 6 เดือน ถึง 4 ปี ซึ่งจะกระทบต่อการบริหารความเสี่ยงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้
ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ก๊าซธรรมชาติมีความจำเป็นต่อประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งก๊าซในอ่าวไทยมีแนวโน้มจะหมดลงในอีก 7 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากไม่หาแหล่งใหม่สำรอง ก็จะไม่สามารถรับมือกับความต้องการใช้พลังงานได้ อีกทั้งการนำเข้าก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต ก็จะพบกับปัจจัยที่ทำให้ราคานำเข้าสูงขึ้น และจะส่งผลต่องบประมาณและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในประเทศ และกระทบค่าครองชีพของประชาชน
ขณะเดียวกัน เหตุผลที่ต้องเร่งดำเนินการเปิดสัมปทาน เนื่องจากการสำรวจปิโตรเลียมต้องใช้ระยะเวลา
สำหรับบรรยากาศโดยรอบทำเนียบรัฐบาล เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีการรักษาความปลอดภัยทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร วางกำลังดูแลโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ขณะที่ภาพรวมของการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวทียังคงเป็นในลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การบริหารจัดการพลังงานของประเทศจะต้องเน้นสร้างความมีประสิทธิภาพ ความมั่นคง และการสร้างความเป็นธรรมด้านพลังงาน ที่ต้องมีการสร้างความมีส่วนร่วม มีกลไกให้รัฐบาลมีทางเลือกมากขึ้น การเพิ่มโอกาสในการแข่งขัน การแก้ไขข้อบกพร่องของกฎหมายปิโตรเลียม
ขณะที่ภาคประชาชน โดยนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวตอนหนึ่งว่า ควรจะมีการแก้ไขกฎหมายก่อนที่จะมีการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 เนื่องจากกังวลว่ายังมีช่องโหว่ในหลายด้านที่อาจทำให้ประเทศเสียผลประโยชน์ที่ควรได้ และการแก้ไขกฎหมายยังเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ที่สนใจเข้ามายื่นสิทธิสำรวจปิโตรเลียมได้มากขึ้น
ทางด้าน ม.ล.กรณ์กสิวัฒน์ เกษมศรี กล่าวว่า ภาคประชาชนไม่ได้ขัดขวางการสำรวจด้านพลังงาน แต่อยากให้มีการกำหนดเงื่อนไขให้รอบคอบ และเพิ่มช่องทางให้ประเทศที่จะได้ผลประโยชน์ โดยระบุว่า จะใช้วิธีสัมปทาน การแบ่งปันผลผลิต หรือการรับจ้างการผลิต เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกให้กับประเทศ
ส่วนนายคุรุจิต นาครทรรพ รองปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ได้นำข้อมูลและเหตุผลการแสดงถึงความจำเป็นที่ต้องหาแหล่งสำรองพลังงานใหม่ เพื่อรองรับความต้องการใช้พลังงานในอนาคต ทั้งนี้ ยืนยันว่า การดำเนินการเป็นไปด้วยความโปร่งใส และเป็นไปตามมาตรฐานสากล
ขณะที่นายมนูญ ศิริวรรณ สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) กล่าวว่า สปช.จะเดินหน้าปฏิรูปด้านพลังงาน โดยอยากให้เข้าใจว่าการแก้ไขกฎหมาย ไม่มีใครสามารถรับรองได้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใด อาจใช้เวลา 6 เดือน ถึง 4 ปี ซึ่งจะกระทบต่อการบริหารความเสี่ยงความมั่นคงทางพลังงานของประเทศได้
ด้านนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ก๊าซธรรมชาติมีความจำเป็นต่อประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านการนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งก๊าซในอ่าวไทยมีแนวโน้มจะหมดลงในอีก 7 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากไม่หาแหล่งใหม่สำรอง ก็จะไม่สามารถรับมือกับความต้องการใช้พลังงานได้ อีกทั้งการนำเข้าก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้านในอนาคต ก็จะพบกับปัจจัยที่ทำให้ราคานำเข้าสูงขึ้น และจะส่งผลต่องบประมาณและต้นทุนการผลิตไฟฟ้าในประเทศ และกระทบค่าครองชีพของประชาชน
ขณะเดียวกัน เหตุผลที่ต้องเร่งดำเนินการเปิดสัมปทาน เนื่องจากการสำรวจปิโตรเลียมต้องใช้ระยะเวลา
สำหรับบรรยากาศโดยรอบทำเนียบรัฐบาล เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีการรักษาความปลอดภัยทั้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหาร วางกำลังดูแลโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน ขณะที่ภาพรวมของการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นบนเวทียังคงเป็นในลักษณะการแลกเปลี่ยนข้อมูลข้อเท็จจริงจากทั้งสองฝ่าย
